Skip to main content

ช่วงนี้หลายประเทศได้ทำการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488) ประเทศที่ได้รับชัยชนะอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็เน้นมากหน่อยโดยเฉพาะสหรัฐฯ กับสมรภูมิดีเดย์ที่นอร์มังดีในปี 1944 ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การปลดปล่อยยุโรปและการพ่ายแพ้ของเยอรมันนาซี สำหรับประเทศที่เน้นยิ่งกว่าเสียมากๆ โดยมักมีการเดินขบวนสวนสนามของกองทัพก็คือ จีน รัสเซีย และเบลารุสอันเกี่ยวข้องกับลัทธิชาตินิยมและกองทัพนิยมที่ผู้นำเผด็จการมักใช้เพื่อเสริมสร้างอำนาจของตัวเอง

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงรายการหนึ่งในยูทูบที่ตั้งคำถามว่าทำไมไทยถึงไม่มีการฉลองเหตุการณ์ดังกล่าว อันเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีคนถามนักในสังคมไทย ผมก็เลยอยากจะลองหาคำตอบโดยตั้งข้อสังเกตเป็นข้อต่อไปนี้

1.กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสงครามโลก ตรงนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของคนร่วมสมัยอย่างเราว่าไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น หรือว่าเป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นเหมือนจีนและประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่น่าสนใจว่าในช่วงชั่วโมงต้นๆ ที่ญี่ปุ่นบุกไทย ทั้งฝั่งไทยทั้งพลเรือน ตำรวจทหาร ยุวชนทหารได้ทำการต่อต้านอย่างกล้าหาญ ก่อนจะยุติจากคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นคือจอมพล ป.พิบูลสงคราม

แต่ในการปลูกฝังประวัติศาสตร์ที่อิงอยู่กับชาตินิยมจนถึงปัจจุบันทั้งหนังสือเรียนและสื่อประชานิยมอย่างภาพยนตร์และละครก็ไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก เท่าที่จำได้ว่ามีภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้ต่อต้านญี่ปุ่นอย่างยุวชนทหารอยู่ไม่กี่เรื่อง อย่างเช่นยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบเมื่อปี 2543 สาเหตุที่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงเท่าที่ควรอาจเป็นผลที่ได้ก็คือสุดท้ายก็พวกปกป้องชาติต้องปล่อยให้กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในไทย ยุวชนทหารซึ่งเด่นกว่าคนอื่นก็เป็นผลผลิตของจอมพล ป.พิบูลสงคราม บุคคลที่ประวัติศาสตร์ไทยซึ่งอิงกับลัทธิราชาชาตินิยม (ชาตินิยมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นจุดศูนย์กลาง) ไม่ค่อยชอบนัก เช่นมักกล่าวถึงเขาไปเรื่อยๆ ไม่เน้นการสรรเสริญเหมือนพระมหากษัตริย์ หรือบางทีหนังสือหลายที่ก็เสนอภาพของเขาเป็นผู้ร้าย ทั้งที่มรดกของจอมพล ป.นั้นฝังรากลึกในสังคมไทยอย่างหาที่สุดไม่ได้ เช่นเดียวกับสมรภูมิที่ไทยทำสงครามกับฝรั่งเศสในปี 2484 (ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเสนอตัวมากไกลเกลี่ย) ซึ่งฝ่ายไทยก็อ้างถึงชัยชนะอย่างอลังการเหนือมหาอำนาจของตัวเองก็เกิดในยุคของจอมพลป.แต่ก็ไม่ได้รับการเน้นเท่าไรอีกเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งคนจำนวนมากยังไม่รู้เลยว่าเกี่ยวกับการฉลองสมรภูมิดังกล่าวนอกเสียไปจากจุดเปลี่ยนรถไฟฟ้า ด้วยการที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคือการส่งเสริมลัทธิเชิดชุบุคคลของจอมพล ป.ที่ไม่เข้ากับลัทธิราชานิยมในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง

2.ขบวนการเสรีไทยหรือขบวนการใต้ดินช่วงญี่ปุ่นยึดครองไทยอันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยไม่แพ้สงครามถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับนายปรีดี พนมยงค์ซึ่งเป็นอดีตมันสมองของคณะราษฎร และพวกอนุรักษ์นิยมยังเชื่อว่าเป็นคอมมิวนิสต์และอยู่เบื้องหลังการปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ดังนั้นคุณูประการของปรีดีจึงไม่ถูกเน้นในประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมจนถึงปัจจุบันนัก นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ชาติราชานิยมยังไม่มีการตอกย้ำหรือเน้นการที่นายปรีดีดิ้นรนเพื่อไม่ให้สหรัฐ ฯ ไม่ยอมรับว่าไทยเคยประกาศสงคราม (ตรงนี้ก็ยังมีเรื่องถกเถียงอีกโดยเฉพาะการอ้างของมรว.เสนีย์ ปราโมชเอกอัครทูตไทยประจำสหรัฐฯ ว่าตัวเองไม่ยอมประกาศสงครามตามคำสั่งของจอมพล ป.) และยังช่วยให้สหรัฐฯ เข้ามาคานอำนาจอังกฤษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนอังกฤษไม่สามารถเล่นงานไทยเช่นเรียกปฏิกรรมสงครามสงครามแพงๆ หรือแบ่งประเทศไทยกับกองทัพเป็นส่วนๆ ตามเจตจำนงได้ แม้จะมีการเดินขบวนของบรรดาเสรีไทยโดยมีรัชกาลที่ 8 เป็นประธานในวันสันติภาพไทยแต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักกันดีนัก หากไม่มีอินเทอร์เน็ต คิดว่าชาตินี้คนไทยเสียใหญ่ก็ไม่เห็นภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากจะต้องดั้นด้นไปถึงหอจดหมายเหตุที่กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามก็มีทฤษฎีอีกเช่นว่าสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมนนั้นมีความต้องการจะให้ไทยและเพื่อนบ้านไม่แพ้สงครามอยู่แล้ว ด้วยวัตถุประสงค์คือการผูกความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันจะเป็นการต้านอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในช่วงเริ่มต้นของสงครามเย็น หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้ดูสง่างามเหมาะสำหรับการจัดงานฉลองที่อิงกับลัทธิชาตินิยมของไทยอีกเช่นกันเพราะเหมือนไทยเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของฝรั่ง

3.ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนในทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมาจนสามารถมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจเหนือไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงไม่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งในการผลิตซ้ำของสื่อไทยที่จะทำให้คนไทยรู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นศัตรูตัวฉกาจเพื่อส่งเสริมลัทธิชาตินิยม แม้ญี่ปุ่นจะถูกโจมตีจากพวกนักศึกษาไทยในช่วงทศวรรษที่ 70 ว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ดังนั้นเราจึงมักไม่เจอฉากในละครหรือภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นเป็นศัตรูนัก อีกทั้งนวนิยายของคุณทมยันตีคือคู่กรรมยังเป็นเหมือน love letter ที่มีนัยยะคือฟอกขาวกองทัพญี่ปุ่น ดังนั้นลัทธิชาตินิยมไทยตั้งแต่ในอดีตจึงมักเน้นศัตรูในจินตนาการคือพม่าซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาณาจักรอยุธยา ทั้งที่นับตั้งแต่พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ประเทศดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับไทยอีกต่อไปแถมยังเป็นภัยคุกคามน้อยกว่าไทยยิ่งกว่า 3 ประเทศในอินโดจีนอย่างเวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งตกเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์พร้อมกันในปี 2519 เสียอีก เพราะพม่าตั้งแต่ปี 2505 ภายใต้การปกครองของนายพลเนวินก็ปิดประเทศ และยากจนอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจพม่าเท่าไรนัก ผมว่าพม่าน่าจะยินดีเสียด้วยซ้ำเพราะยิ่งไทยตอกย้ำฉากที่พม่าเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาเสียจนราบเป็นหน้ากองในปี 2310 ก็ยิ่งตอกย้ำความเก่งของกองทัพพม่าอันจะเป็นการสร้างลัทธิชาตินิยมรวมไปถึงอิทธิพลของกองทัพซึ่งยังทรงอิทธิพลในประเทศพม่าเท่านั้น

4.ไทยขาดอัตลักษณ์ของความเป็นชาติ หากไม่เกี่ยวกับเรื่องราชานิยมแล้ว แม้แต่วันชาติไทยเก่าก็คือวันที่ 24 มิถุนายนที่เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันซึ่งมักภูมิใจว่าการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของประเทศตนอย่างเช่นพม่าซึ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 เพราะบทบาทของนายพลอองซาน หัวหน้าขบวนการชาติหรืออินโดนีเซียซึ่งขบวนการชาตินิยมของซูการ์โนก็ต่อสู้กับดัชต์อย่างดุเดือดจนได้รับเอกราชในปี 2492 และผู้นำของทั้ง 2 ประเทศก็ยังได้รับความเคารพอย่างท่วมท้นจากคนในปัจจุบันในฐานะบิดาแห่งชาติ ไม่เหมือนกับจอมพลป.พิบูลสงครามและนายปรีดี พนมยงค์ ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่ได้สำคัญอะไรในประวัติศาสตร์ของความเป็นรัฐไทยนัก นอกจากเหตุการณ์แห่งความคลุมเครือว่าตกลงเราดัดจริตหรือจำเป็นต้องเข้ากับฝ่ายอักษะหรือเป็นขี้ข้าญี่ปุ่นจนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาระเบิดมาทิ้งจนคนตายกันเกลื่อน แล้วตกลงไทยแพ้หรือว่าไม่แพ้หรือว่าอะไร

5.องค์กรที่ปลุกระดมลัทธิราชาชาตินิยมที่ทรงอิทธิพลของไทยคือกองทัพไม่สามารถมีบทบาทที่น่าภูมิใจได้ในช่วงสงครามโลก อย่างเช่นตอนญี่ปุ่นบุกก็ถูกยุวชนทหารกลบบทบาท และมักถูกมองว่าไม่สามารถ "สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี" ได้ ซ้ำร้ายช่วงญี่ปุ่นอยู่ในไทยยังต้องร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นในการบุกประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า เมื่อสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลพลเรือนขึ้นมามีอำนาจก็ถูกกองทัพมองว่าทอดทิ้งพวกตนจนต้องเดินนับไม้หมอนรถไฟกลับมากรุงเทพฯ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2490 อันนำโดยจอมพลผิน ชุนหะวันนายทหารนอกราชการ ซึ่งเป็นการแผ่อิทธิพลครั้งใหญ่ของกองทัพเหนือการเมืองไทย

กองทัพเป็นองค์กรสำคัญสำหรับการปกป้องประเทศไทย (หากเรายังมองความมั่นคงในนิยามเดิม) และทหารจำนวนมากก็เสียสละความสุขและชีวิตเพื่อชาติไทย แต่ในหลายสิบปีนั้นกองทัพไทยไม่ได้มีผลงานต่อสู้กับอริราชศัตรูที่โดดเด่นจนเป็นฉากที่ต้องจดจำสำหรับประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมนักอย่างเช่นรบกับคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นก็เป็นการสู้กับคนไทยด้วยกันและสุดท้ายพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็ใช้นโยบาย 66/2523 เพื่อให้พวกคอมมิวนิสต์กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย สงครามระหว่างไทยกับลาวในสมรภูมิบ้านร่มเกล้าปี 2531 ก็หาความชัดเจนไม่ได้ว่าใครแพ้ใครชนะ แถมยังมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเบื้องหลังสงครามครั้งนี้ หรือความขัดแย้งทางทหารในเรื่องเขาพระวิหารกับพื้นที่รอบๆ กับกัมพูชา ก็ไม่ได้มีผลลัพธ์อะไรที่น่าภูมิใจนัก นอกจากเป็นการตรึงกำลังกันเสียมากกว่า และยังเกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศมากกว่าอย่าเช่นที่คนที่สนับสนุนรัฐบาลเครือข่ายทักษิณมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เจรจากับรัฐบาลนายฮุนเซ็นเสียมากกว่าการทำสงครามอย่างพวกฮาร์ดคอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายพันธมิตรที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุลแนะนำ จึงทำให้มติของคนในประเทศแตกแยกกัน หรือปัจจุบันแม้กองทัพเรือจะซื้อเรือดำน้ำจากจีนก็โดนด่าเสียเละ

ดังน้นกองทัพจึงต้องหาฉากหรือ Scenario บางฉากที่สร้างความภูมิใจให้กับตนและคนไทยทั้งประเทศอันเป็นการสถาปนาอำนาจนำหรือ Hegemony ของกองทัพเหนือสังคมไทย นั่นก็คือฉากที่พระนเรศวรทำสงครามยุทธหัตถีกับมหาอุปราชอันกลายเป็นที่มาของวันกองทัพไทยนั้นเอง เช่นเดียวกับฉากที่พระนเรศวรทรงประกาศเอกราชของไทย (ซึ่งที่จริงคือกรุงศรีอยุธยา) ฉากทั้ง 2 ก็กลายเป็นความภูมิใจของชนชั้นนำไทย จึงไม่น่าประหลาดใจว่าชนชั้นนำและกองทัพไทยจะส่งเสริมให้มีภาพยนตร์อย่างสุริโยทัยซึ่งตัวเอกคือพระขนิษฐาของพระนเรศวร และตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึง 6 ภาคและแต่ละภาคล้วนใช้ทุนมหาศาล (ครั้งหนึ่งกองทัพถึงกลับเปิดให้คนไทยเข้าดูฟรี) แต่ไม่มีภาพยนตร์อันอลังการเกี่ยวกับเสรีไทยซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพและการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด