ในวันพุธที่ 20 มกราคมที่จะถึงนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งจากประธานาธิบดีเป็นอดีตประธานาธิบดีไปเสียแล้ว สำหรับผมรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนเขาแข่งขันเพื่อชิงกับตำแหน่งประธานาธิบดีกับฮิลลารี่ คลินตันอย่างดุเดือดและพลิกล็อคเมื่อ 4 ปีก่อนก็เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานซืน เป็นเรื่องน่าตลกว่าสาเหตุที่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งก็คือสาเหตุเดียวกับการที่เขาต้องเข้ากระบวนการเพื่อถอดถอนหรือ impeach อีกครั้งก่อนหมดวาระนั่นคือความรักอย่างไม่เสื่อมคลายของบรรดาแฟนคลับจำนวนมากนั่นเอง พวกเขาเริ่มต้นจากการเห็นว่าทรัมป์เป็นคนนอกของวงการการเมืองสหรัฐฯ ที่น่าศรัทธา เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนประสบความสำเร็จ เป็นคนพูดจาโผงผาง หัวอนุรักษ์นิยม เชิดชูความเป็นอเมริกันมาอย่างคงเส้นคงวา ด้วยก่อนทรัมป์จะมาชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น คนอเมริกันจำนวนมากเบื่อหน่ายการเมืองสหรัฐฯ เพราะเป็นวงการที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิชน นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของชนชั้นสูง โดยมีตัวแทนอย่างประธานาธิบดีบารัก โอบามา คู่สามีภรรยาคืออดีตประธานาธิบดีบิล และนางฮิลลารี่ คลินตัน ถึงแม้โอบามาและนางคลินตันจะถล่มกันเสียเละเทะในช่วงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเมื่อปี 2008 พวกอนุรักษ์นิยมก็มองว่าทั้งคู่อยู่ในประเภทเดียวกัน เช่นเดียวกับรองประธานาธิบดี โจ ไบเดนซึ่งคว่ำหวอดในการเมืองมาหลายสิบปีแต่จืดฉืด ไร้สีสัน เหมาะกับไปเลี้ยงหลานที่บ้าน ซึ่งถ้า 4 ปีก่อนเขาลงแข่งขันแทนคลินตัน เขาก็คงแพ้ทรัมป์เช่นกัน ในสายตาของคนอเมริกันจำนวนมากโดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยมที่เบื่อการเมืองแบบเดิมๆ ทรัมป์ที่แม้ยังดูเป็นอิสระจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นต้นสังกัดน่าจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองสหรัฐฯ
กระนั้นใน 4 ปีที่ผ่านมาได้สะท้อนว่าทรัมป์บริหารประเทศแบบ unconventional คือแหกกรอบและขาดความเป็นระบบไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่นนัก นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ (ซึ่งก็มีคนว่าที่จริงเป็นผลต่อเนื่องมาจากรัฐบาลของโอบามา) เขายังลือชื่อในการปลดผู้ทำงานรอบข้างเป็นว่าเล่น ไม่ว่ารัฐมนตรีว่ากระทรวงสำคัญอย่างกระทรวงต่างประเทศและกลาโหมเช่นเดียวกับที่ปรึกษาความมั่นคงเพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่สามารถตอบสนองอัตตาอันแรงกล้าและนโยบายที่ไม่คงเส้นคงวาของทรัมป์ได้ และพวกเขาก็ออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีหรือเขียนหนังสือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นโทษแก่ทรัมป์ทั้งสิ้นนอกจากนี้คนรอบข้างของเขาเช่นนักวางกลยุทธ์ในการหาเสียงหรือทนายส่วนตัวของทรัมป์ก็มีแต่เจอปัญหาทางกฎหมาย นอกจากนี้ทรัมป์ยังเจอปัญหาทางกฎหมายเองเช่นการหนีภาษีหรือการฉ้อโกงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ส่วนนโยบายการทำสงครามการค้ากับจีนถึงแม้จะทำให้เขาปลุกระดมลัทธิชาตินิยมแต่ก็การขึ้นกำแพงภาษีของจีนทำให้เกษตรกรซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของเขาจำนวนมากต้องเดือดร้อน ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวผสมกับความผิดพลาดครั้งใหญ่ของทรัมป์ในการรับมือกับโรคระบาดโควิด - 19 ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนพ่ายแพ้แก่โจ ไบเดน
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าทึ่งว่า แม้ว่าทรัมป์จะแพ้ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ให้แก่ไบเดนถึง 232 ต่อ 306 และแพ้คะแนนเสียงของประชาชน (Popular Vote) แก่ไบเดน ถึง 7 ล้านเสียง แต่ทรัมป์ถือได้ว่าเป็นผู้แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ นั่นคือ 74,222,593 เสียง มากกว่าโอบามาในปี 2008 ถึง 5 ล้านเสียง (นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องน่าขนลุกว่าทรัมป์ได้คะแนนเสียงมากว่าประธานาธิบดีในอดีตซึ่งเป็นขวัญใจและวีรบุรุษของคนอเมริกันทั้งสิ้นอย่างเช่นจอห์น เอฟ เคนนาดี หรือแฟรงคลิน ดี รุสเวลต์ หากไม่คำนึงถึงสัดส่วนของจำนวนประชากรที่เปลี่ยนไป ) และถ้าเปรียบเทียบกับคะแนนเสียงของตัวทรัมป์เองในปี 2016 คือ 62,984,828 เสียง ก็แสดงให้เห็นว่าเขาได้คะแนนจากประชาชนเพิ่มเกือบ 12 ล้านเสียง! อันแสดงว่าที่จริงทรัมป์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพียงแต่ไบเดนได้คะแนนมากกว่าจากพวกเดโมแครตที่เกลียดทรัมป์หรือ พวกเฉยๆ ต่อไบเดนแต่ไม่ชอบนโยบายทรัมป์อย่างการรับมือกับโควิด-19 เป็นต้น
มีการวิเคราะห์มากมายว่าเหตุใดทรัมป์จึงได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่าเดิมและเป็นจำนวนมหาศาล คำตอบที่น่าจะตรงกันก็คือ Politics of Identity หรือการเมืองภาคอัตลักษณ์นั้นเอง ในขณะที่มีคนอเมริกันจำนวนมากเสื่อมศรัทธาทรัมป์ แต่ก็มีคนอเมริกันอีกจำนวนมากที่ยังคงหรือหันมาศรัทธาในตัวทรัมป์โดยการมองผ่านมุมของพวกอนุรักษ์นิยมในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป (กล่าวง่าย ๆ คือมีคนออกจากกลุ่มเอฟซีทรัมป์ แต่ก็มีคนยังอยู่หรือเข้าร่วมกลุ่มมากกว่า) นั่นคือคนอเมริกันหัวอนุรักษ์นิยมจำนวนมากมองว่าพวกที่เป็นศัตรูกับทรัมป์โดยเฉพาะพรรคเดโมแครต ล้วนเป็นพวกเสรีนิยมจอมปลอมที่แสดงท่าทีเหมือนยกย่องสิทธิสตรี ชาว LGBT คนสีผิวเพียงเพื่อคะแนนเสียง (ผมเคยเห็นการ์ตูนล้อเลียน แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่าพร้อมจะแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้เพื่อดูดคะแนนเสียงจากคนอเมริกัน) บางพวกมองว่าเรื่องอื้อฉาวของทรัมป์ทั้งหลายนั้นเกิดจากการกลั่นแกล้งของพวกเดโมแครตและพวกมีอำนาจแฝงเช่นพวกนายทุนและระบบราชการอันทรงอิทธิพลเพราะทรัมป์ต้องการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของคนเหล่านั้น บางพวกก็เชื่อในทฤษฏีสมคบคิดอย่าง QAnon ที่ทรัมป์และพลพรรคปลุกปั่นทางอินเทอร์เน็ตว่าเป็นองค์กรลับอันทรงอิทธิพลที่ชั่วร้ายและคอยเล่นงานทรัมป์อยู่
ส่วนการระบาดของโควิด -19 ที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตไปเป็นแสนๆ นั้นแม้ทรัมป์จะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มตัว อย่างนายบ็อบ วูดวาร์ดนักหนังสือพิมพ์อาวุโสเปิดเผยบทสัมภาษณ์ของทรัมป์ว่าตนรู้ดีว่าโควิด-19นั้นระบาดง่ายและอันตรายแต่ไม่ต้องการให้เป็นเรื่องสำคัญนักเพราะจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ย่อมทำให้คะแนนความนิยมของท่านประธานาธิบดีตกต่ำแต่ตามความจริงแล้ว สหรัฐฯ มีขนาดกว้างและมลรัฐต่างก็รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เท่ากัน ดังนั้นมลรัฐที่ได้รับผลกระทบคือคนติดเชื้อน้อยและผู้ว่าการรัฐเป็นรีพับลิกันจนถึงวันเลือกตั้งก็อาจเลือกทรัมป์เป็นจำนวนมาก หรือพวกขวาอาจหันไปตำหนิผู้บริหารในระดับรองลงมาอย่างผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรี โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครตแทนทรัมป์ และที่สำคัญมีเพียงร้อยละ 24 ของผู้สนับสนุนทรัมป์เห็นว่าเรื่องโรคระบาดดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญในการลงคะแนนเสียง พวกขวาจำนวนมากยังเชื่อไปถึงขั้นว่าโควิด -19 เป็นแค่ทฤษฎีสมคบคิดที่สร้างขึ้นมา หาได้มีตัวตนอยู่จริงไม่ เช่นเดียวกับการประท้วงของพวกเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนสีผิวอย่างเช่น Black Lives Matter เมื่อปีที่แล้ว พวกอนุรักษ์นิยมโดยเฉพาะคนขาวก็มองว่าเป็นเครื่องมือของนักการเมืองพรรคเดโมแครตในการทำลายความน่าเชื่อถือของทรัมป์เช่นการที่ผู้ว่าการรัฐหรือนายกเทศมนตรีไม่ยอมใช้กำลังจัดการกับกลุ่มประท้วงโดยเด็ดขาด โดยแท้ที่จริงมันคือมุมมองของคนขาวที่ยังถือว่าตัวเองเหนือกว่าใคร
นอกจากนี้คนจำนวนมากยังเชื่อว่าไบเดนเป็นหุ่นเชิดของจีน และจะมีนโยบายเอาอกเอาใจจีนในอนาคต ประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยังจะไม่สามารถรักษา law and order ของประเทศนี้ได้ อาจเพราะพรรคเดโมแครตแสดงตนว่าอยู่เคียงข้างขบวนการ Black Lives Matter เสมอมา หรือทรัมป์ยังกล่าวหาว่าไบเดนจะนำเอาลัทธิสังคมนิยมมาใช้ ทำให้คนเชื้อสายละตินหรือ Hispanic ซึ่งทรัมป์เคยดูุถูกอย่างมากเมื่อ 4 ปีก่อนหันมาเลือกทรัมป์ เพราะมีความรู้สึกด้านลบกับสังคมนิยมที่ก่อความเสียหายให้กับประเทศเก่าของพวกเขาอย่างคิวบาหรือเวเนซูเอลา (และตามความจริงทรัมป์เน้นที่คนเม็กซิโกมากกว่า) นอกจากนี้ยังได้แก่พวกอนุรักษ์นิยมอย่างพวกเคร่งศาสนาที่เป็นคนผิวขวาและโดยเฉพาะกลุ่ม Evangelical Protestants ที่ให้การสนับสนุนทรัมป์ซึ่งแสดงตัวเองว่าสนิทแนบแน่นกลุ่มของตน พวกขวาจำนวนหนึ่งยังเชื่อมานานแล้วว่าไบเดนและโอบามานั้นที่แท้จริงบูชาซาตาน และจะนำอเมริกาสู่ยุคมืด ตัวอย่างได้แก่ดาราดังคือ จอน วอยต์บิดาของแอเจลินา โจลี
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ชื่นชอบทรัมป์ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยอดเยี่ยม และอัตราคนว่างงานต่ำ พวกเขายังฝันว่าสหรัฐฯ จะกลับมา great again ภายใต้อำนาจนำของผู้ชายผิวขาว หลังจากเล่นงานคู่แข่งตัวฉกาจอย่างจีนเสียย่ำแย่และโรคโควิด -19 ผ่านพ้นไป
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวข้างบนก็ล้วนเป็นพัฒนาการของทรัมป์และทีมงานในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาดในการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งตั้งแต่ 4 ปีก่อนนั้นเองผ่านข่าวปลอมหรือข้อมูลอันเป็นเท็จ กระนั้นเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า 70 กว่าล้านคนที่เลือกทรัมป์จะเป็นพวกขวาอนุรักษ์นิยมเสียหมดจำนวนมากอาจเลือกเพราะชอบนโบายของทรัมป์มากกว่าไบเดนหรือเกลียดไบเดนเสียยิ่งกว่าทรัมป์ อย่างไรก็ตามทรัมป์ซึ่งเป็นโรคหลงตัวเองก็ไม่สามารถปล่อยวางตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ท่ามกลางตัวเลขอันน่ามหัศจรรย์ของผู้ลงคะแนนเสียงให้ เขาเชื่อว่าการใช้ทวิตเตอร์ (ซึ่งปัจจุบันถูกระงับไปตลอดกาล) ในการกล่าวหาไบเดนโกงการเลือกตั้งจะสามาถปลุกระดมกลุ่มผู้ภักดีต่อตนอย่างเหนียวแน่นซึ่งมีอัตลักษณ์ทางการเมืองคือพวกอนุรักษ์นิยมผิวขาวได้จำนวนมหาศาล และในที่สุดพวกเขาก็เข้ายึดรัฐสภาอันจะทำให้การลงคะแนนเสียงรับรองไบเดนล้มเหลว เช่นเดียวกับการที่ทรัมป์บีบให้ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีซึ่งเป็นประธานล้มพิธีให้ได้แต่เพนซ์ปฏฺิเสธ ทรัมป์ได้รับการประณามจากทุกฝ่ายรวมไปถึงขบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งอันทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่โดนถอดถอนถึง 2 ครั้ง และคนที่เคยเลือกเขาเมื่อปีที่แล้วคงคลายความนิยมไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ยังน่าจะมีฝ่ายขวาจำนวนมากเห็นอกเห็นใจทรัมป์ว่าตกเป็นเหยื่อของสื่อฝ่ายซ้ายและนักการเมืองพรรคเดโมแครต คนพวกนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในอนาคตอีกก็เป็นได้
จากการถูกโจมตีเสียเละเทะ และกองกำลังเนชั่นนัลการ์ดได้เข้ามาประจำอย่างหนาแน่นเพื่อรักษาความสงบช่วงไบเดนและกมาลา แฮร์ริสเข้าพิธีสาบานตน ทรัมป์คงมีโอกาสน้อยเต็มทีที่จะทำอะไรแผลงๆ เพื่อยื้อตำแหน่งประธานาธิบดีได้ต่อไป เราน่าจะมาดูว่าสหรัฐฯ ในหยุคหลังทรัมป์นั้นจะมีสภาพความเป็นไปอย่างไร จากแรงปะทะของการขึ้นมาของพวกเสรีนิยมกับร่องรอยที่เหลือของพวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง ส่วนทรัมป์หากรอดจากการเข้ากระบวนการถอดถอนและสามารถลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีก 4 ปีข้างหน้า เขาจะมีบทบาททางการเมืองอย่างไรตั้งแต่หลังวันที่ 20 กระนั้นผู้ที่ยังรักเขาอยู่ไม่เสื่อมคลายก็เป็นตัวแปรสำคัญอยู่นั่นเอง
ภาพจาก KSAT.com
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44 ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982) สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด