Skip to main content

นายยืนยง

 

 

 


 

ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ

ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร

 



ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน


เหมือนจะเป็นการออกตัวตามมารยาทเท่านั้น การเสแสร้งใด ๆ ฉันคิดว่าผู้อ่านเท่านั้นจะตัดสินได้


คราวที่แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกผลงานของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์หรือ แดนอรัญ แสงทอง มาเขียนถึงก่อน แต่ตอนนี้หยิบ นิทานประเทศ ของกนกพงศ์ มาอ่านอีกแล้ว ส่วนเงาสีขาว ทำหน้าบึ้งตึงอยู่บนโต๊ะ ด้วยความหนาเตอะ และคำนำของหนังสือเงาสีขาว ที่ทำเอาฉันขนหัวลุก ใครที่เส้นศีลธรรมเปราะบางอาจขว้างทิ้งก็เป็นได้ เนื่องจากแดนอรัญ แสงทอง เขียนคำนำอันยาวเหยียด ดุเดือดเลือดพล่าน โดยใช้คำประเภท มึง ๆ กู ๆ ออกอารมณ์ขำขันชวนสยอง อีกอย่าง..ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้ใจมันหวิวชอบกล จึงต้องพักงานเขียนประเภทหนักหน่วงไว้ก่อน นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว นัยว่าไม่อยากเสพพาราเซตามอลแทนเค้กปีใหม่


เข้าเรื่องนิทานประเทศของนักเขียนผู้ล่วงลับกันดีกว่า


นิทานประเทศเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขนาดยาวจำนวน 11 เรื่อง อันได้แก่

ชาวบ้านป่า บ้านเมืองของเขา คนขายโรตีจากศรีลังกา บ้านเคยอยู่ (เพื่อชีวิต) หมูขี้พร้า เพื่อนบ้าน สมชายชาญ (เรื่องนี้ขำสุด ๆ ) กลางป่าลึก เสียงนาฬิกา ธรรมชาติของการตาย น้ำตก (2547)


รูปลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้ ด้วยภาพปก (ฝีมือ ปริทรรศ หุตางกูร) และประกอบภายในเรื่อง (ฝีมือ ผศ.แฉล้ม สถานพร) สีสัน รวมแล้วถือได้ว่าเป็นผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ ได้ทันที นั่นเป็นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้ด้วยตา และเมื่ออ่านเนื้อเรื่องฉันก็พบว่า สัจนิยมมหัศจรรย์ ไม่ใช่หัวใจของ นิทานประเทศ เล่มนี้หรอก หากแต่กลิ่นอายที่ตำนาน เรื่องเล่าของบรรพบุรุษซึ่งได้ฝังรากหยัดอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งเป็นดั่งมรดกตกทอด กำลังถูกรุกรานโดยอำนาจของทุนนิยม และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เป็นกลิ่นอายที่อวลอลในแบบเมจิกคัลฯ


แน่นอนว่า ทุนนิยมและการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่กนกพงศ์ใช้ รถแบ็คโฮ นากุ้ง เลื่อยไฟฟ้า เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทน ล้วนตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง ในข้อหาฆาตกรรมวิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษ อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และโศกนาฏกรรมทำนองนี้ก็คล้ายจะเป็นเพียงตำนานแห่งวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตไปเสียแล้ว


นิทานประเทศเล่มนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น งานศิลปะแนวเมจิกคัลเรียลลิสม์ได้เต็มหัวใจก็ด้วยเหตุผลทางศีลธรรมนั่นเอง โดยศีลธรรมที่เป็นหลักเกณฑ์ซึ่งกดทับอยู่ในวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตก็คือ การกดขี่ของนายทุน (ทุนนิยม) การรุกรานวิถีชีวิตของชาวบ้าน คนจน ผู้ด้อยโอกาส ของ กระแสการพัฒนาเศรษฐกิจในนามของรัฐและนายทุน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และศีลธรรมข้อนี้เองที่เป็นหลักใหญ่ในความของวรรณกรรมแนวนี้


กล่าวโดยทั่วไปในวรรณกรรมหรืองานศิลปะนั้น

ตัวศีลธรรมนี่เองที่เป็นตัวปลุกเร้า กระตุ้นให้อารมณ์ผู้เสพเบี่ยงเบนออกไปจากความงามซึ่งเป็นเรื่องของสุนทรียรสที่แท้จริง เพราะความงามถือเป็นความสัมบูรณ์ในตัวเอง หาต้องมีปัจจัยอื่นเพื่อเป็นตัวแปรเร่งให้เข้าถึงความงามในนิยามอื่น


ความงามไม่ใช่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้มลทิน แต่อย่างเดียว หรือไม่ใช่ และโศกนาฏกรรมก็ย่อมจะนำ

สุนทรียรส มาสู่ผู้เสพได้ เว้นเสียแต่ว่า โศกนาฏกรรมนั้น ๆ ได้ถั่งเทไปในทางชี้ถูกต้อง ชี้ชั่วดี ผิดถูกแล้วล่ะก็ ถือเป็นข้อยกเว้น


สิ่งเดียวที่กีดกั้นผลงานของกนกพงศ์ออกไปจากงานศิลปะบริสูทธิ์ก็คือ แนวคิด หรือศีลธรรมของงานเขียนสไตล์เพื่อชีวิต ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่เขาจริงจัง เคร่งขรึม กับมันมากราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ขณะเดียวกัน คำว่า “เพื่อชีวิต” ก็หาใช่อาชญากรแห่งโลกวรรณกรรมแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่า นักเขียนแนวเพื่อชีวิตต้อง “ตาม” สังคมให้ทัน และก้าวข้ามมันไปให้ได้ เพื่อจะมองเห็นมันอย่างเที่ยงธรรม ฉันย้ำเสมอว่า แนวทางของเพื่อชีวิต ยังมีเส้นให้เดินอยู่อีกมาก ขออย่างเดียวนักเขียนต้องไม่พยายามยัดเยียดข้อหาให้จำเลย ซึ่งแน่นอนคือ ไอ้ทุนนิยมสามานย์ หรือไอ้นายทุนหน้าเลือด อย่างมักง่าย และต้องไม่พยายามชื่นชม บูชา วิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษแบบไม่ลืมหูลืมตาด้วย


ดังนั้น หากกนกพงศ์จะฝ่าปราการของแนวเพื่อชีวิตออกมาสู่โลกของศิลปะอันโลดโผนได้ งานเขียนของเขาจะไม่ต้องการแม้แต่คำโฆษณาชวนเชื่อของสำนักพิมพ์นาครแต่อย่างใด เพราะเราต้องยอมรับว่า

กนกพงศ์เป็นคนฉลาด ในที่นี้หมายถึง มีหัวไว และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ซ้ำ ย่ำอยู่กับที่ อันถือเป็นพลังวิเศษสุดที่นักเขียนพึงมี นอกจากนั้น เขายังอุดมด้วยวัตถุดิบที่สดสะพรั่ง ดั่งสวนผลไม้นานาพันธุ์ และวัตถุดิบในมือเขานั้น มันช่างวิเศษเหลือเกิน มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากฉันเป็นนักเขียนอย่างกนกพงศ์ ฉันจะไม่หมดศรัทธาต่อชีวิตนักเขียน และจะไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก


กนกพงศ์เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่ฉันให้ความสำคัญต่อผลงานของเขาตลอดมา

เฝ้าสังเกตสังกา เฝ้าอ่านอย่างเพลิดเพลิน และบังเอิญกับนิสัยของวิพากษ์วิจารณ์ (อีกนัยหนึ่งเรียกว่าคอยจับผิด) จึงมองเห็นและกล้าพูดว่า

งานเขียนของกนกพงศ์จะสมบูรณ์ในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเขายุติบทบาทในการตัดสินชะตากรรมของตัวละคร วางอำนาจนั้นไว้ในกำมือของผู้อ่านเสีย และฉันยังกล้าพูดอีกว่า ในบรรดานักเขียนปักษ์ใต้บ้านเรา เราจะฝากความหวังไว้ที่เขาได้โดยไม่ลังเล


จากนั้น เราก็รอคอยอ่านผลงานของเขาไปตามปกติสุขของเรา แต่ใครจะรู้ได้ว่า บางทีนักเขียนคนหนึ่งก็ตายจากเราไปง่าย ๆ ทั้งที่เขาน่าจะมีโอกาสทำงานเขียนของเขา (ความหวังของเรา)ต่อไปอีกนาน

ให้ตายเถอะ... เขาตายไปอย่างกับจะกลายเป็นตำนานอย่างนั้นแหละ นี่ฉันยังหัวเสียไม่หายเลย


จากเล่ม นิทานประเทศ นี้ กนกพงศ์ เขียนเรื่อง สมชายชาญ ได้สนุก มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ฉันถือเป็นเรื่องสั้นเล็ก ๆ ของพลพรรครักการพี้ ที่มีสุนทรียรสตลบอบอวล เป็นโศกนาฏกรรมของลิงเสน ที่ “แปรพักตร์กลายเป็นพวกผู้ชายสายน้ำไป” (ติดเหล้า) ในที่สุด สำนวนภาษาก็เหมาะเจาะลงตัว ไม่มีติดขัดอะไรแม้แต่น้อย ไม่เงื้อง่าราคาแพงให้สมกับเป็นงานเขียนอันทรงเกียรติแต่อย่างใด ราวกับเขาเป็นอิสระจากหลักการวรรณกรรมทั้งปวง แต่แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเทศนาบทสรุปไว้ให้ อา...ศีลธรรมของวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิต สุดท้ายก็คือบาปที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง เขาสรุปไว้ในหน้า 232 ว่า


หรือนี่จะเป็นกฎธรรมชาติอีกข้อที่ว่า เมื่อใดที่ชีวิตดิ้นรนไปเพื่อเป็นในสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวเอง ย่อมต้องประสบพบแต่โศกนาฏกรรม?... ผมไม่รู้หรอก ผมแค่คิดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเมากัญชา ความจริงแล้วผมไม่รู้อะไรเลย


ศีลธรรมของเขา หรือ อาจเรียกว่า ความจริง ในทัศนคติของกนกพงศ์ คือ กฎข้อเดียวนี้หรือ?


นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่หยิบมาจากเรื่องสั้นขนาดไม่ยาวจากเล่มนี้ แต่สำหรับเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องอื่นล้วนมีข้อสังเกตคล้ายคลึงกันคือ การนำตำนาน เรื่องเล่า ที่อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ เหลวไหลในมุมมองของวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นบรรยากาศของเรื่อง ซึ่งเป็นวิธีของเมจิกคัลฯ นั่นเอง และก่อนจะลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ ฉันเห็นว่าได้กล่าวถึงผลงานของกนกพงศ์ในด้านลบนิด ๆ มาพอสมควรแล้ว น่าจะหยิบยกมุมมองที่น่าชื่นชมมาอวดกันบ้าง


กนกพงศ์มีความเป็นนักเขียนมืออาชีพอยู่เต็มเปี่ยม คงไม่มีใครปฏิเสธหากดูจากปริมาณผลงานที่ออกมาอวดสายตาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ หรือความเรียง ดังนี้

1.ป่าน้ำค้าง ปี 2532 รวมบทกวีนิพนธ์

2.สะพานขาด ปี 2534 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 1 รางวัลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2535

3.คนใบเลี้ยงเดี่ยว ปี 2535 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 2

4.แผ่นดินอื่น ปี 2539 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 3 รางวัลซีไรต์ ปี 2539

5.บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ปี 2544 ความเรียบเชิงบันทึกทัศนะ

6.ยามเช้าของชีวิต ปี 2546 เรื่องเล่าเชิงบันทึกทัศนะ

7.โลกหมุนรอบตัวเอง ปี 2548 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 4

8.นิทานประเทศ ปี 2549 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 5

(ยกมาจากปกในหนังสือ)

นอกจากความต่อเนื่องของงานแล้ว ในเนื้องานโดยเฉพาะเรื่องสั้น ฉันได้มองเห็นเสน่ห์ของการเขียนหนังสือซึ่งเรื่องนี้จะหาได้ไม่ง่ายนัก และมักจะพบเจอแต่ในนักเขียนมืออาชีพเป็นส่วนใหญ่


เสน่ห์ที่ว่าคืออะไร

ฉันเองคงให้คำจำกัดความได้ไม่ดีนัก แต่จับเป็นห้วงความรู้สึกก็พอได้อยู่ นั่นคือ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผุดขึ้นระหว่างบรรทัด และมันช่างมหัศจรรย์ ก่อนอื่นเราควรมาดูกระบวนการทำงานของนักเขียนกันก่อน


เมื่อเรื่องราวที่นักเขียนวาดเค้าโครงไว้ในสมองดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็จะลงมือเขียน อย่างที่เขาชอบพูดกันว่า

เรื่องมันขังอยู่ในหัวมาเป็นปี ๆ พอเวลาเขียนก็ลื่นไหลปรี๊ดปร๊าดออกมา

และเมื่อลงมือเขียนไปตามลำดับสมองบัญชาการอย่างดื่มด่ำ นักเขียนก็จมอยู่ในโลกแห่งอรรถรสซึ่งเขาเป็นคนเสกสรรมันขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องราวนั้นกลับมีอำนาจบงการให้เขาเขียนในสิ่งซึ่งอาจจะไม่เคยอยู่ในหัวสมองมาก่อน แต่มันกลับผุดมีชีวิตเป็นตัวอักษรออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจไว้ และอย่างน่าอัศจรรย์ มันช่างเป็นถ้อยคำวิเศษราวกับสรวงสวรรค์บันดาล ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเขียนได้ดีอย่างนี้ มันทำเอานักเขียนขนลุก หัวใจฟู


อารมณ์อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ถูกจับมือเขียน และฉันได้พบกับมันในผลงานเล่มนี้ของกนกพงศ์


ในหน้า 246 เรื่อง กลางป่าลึก อันยาวเหยียดและปลุกเร้าอย่างยิ่ง เขาเขียนไว้ว่า

นิทาน-ที่สนิมไม่อาจกร่อนทำลาย

ไม่อยากอธิบายว่า ถ้อยคำนี้มันจะมหัศจรรย์ตรงไหน เพราะถ้าได้ลองหามาอ่าน คำว่าเสน่ห์ที่เราเข้าใจ ซาบซึ้งอาจจะไม่ใช่ประโยคเดียวกันก็เป็นได้


แต่สำหรับฉันรู้สึกได้เลยว่า ประโยคนี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวมันเอง มันอยู่เกินขอบเขตแห่งอำนาจของนักเขียน


อารมณ์รวม ๆ ของเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างฟายฟุ้ง กระจายเหมือนเมฆหมอกบนหุบเขา แต่กลับทรงพลังอำนาจ

มันทำเอาฉันซึ้ง และซึมไปเลย


อีกอย่างหนึ่ง

การเลือกใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ ผม ในเรื่องสั้นส่วนของชุดนี้ ก็ไม่ควรลืมที่จะนำมากล่าวถึง

กนกพงศ์มีเจตนาหลายอย่างที่จำเพาะเจาะจง เป็นเหตุเป็นผล แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มีเสียงแว่ว ๆ ของ

กนกพงศ์เหมือนจะพูดว่า เลิกหากินกับคนจนเสียทีเถิด เพื่อนนักเขียนเพื่อชีวิตทั้งหลาย


เนื่องจากเราคุ้นเคยกับคำว่า นักเขียนเป็นผู้สังเกตการณ์ แล้วหยิบจับประเด็นมาเขียน แต่กนกพงศ์ไม่ใช่อีกทั้งเขาพยายามจะบอกด้วยว่า เราควรให้เกียรติมนุษย์ที่เป็นต้นธารงานเขียนของเราให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าใช้คำว่า ผู้สังเกตการณ์อย่างมักง่าย ขณะเดียวกันเขาได้เลือกที่จะก้าวเข้าไปเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับตัวละครของเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อซึมซับ ร่วมรู้สึกและเพื่อจะถ่ายทอดออกมาให้หมดจด


อีกนัยหนึ่งอาจเป็นไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับทัศนะของเรื่องแต่ง เสริมพลังให้เรื่องแต่งนั้น ๆ มีคุณค่าราวกับเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงอย่างไร้ขัอครหา และเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่เรียกกันว่า ยัดเยียดปรัชญา สู่ผู้อ่าน


คงไม่จบง่าย ๆ เพราะยังคงมีนัยยะซ่อนแฝง ที่ถ้าเอามาเขียนให้หนำใจ หนังสือคงผุพังไปเลย ขณะเดียวกันถ้าเล่นกันเปรอะขนาดนั้น ฉันว่าควรมานั่งเขียนเรื่องสั้นเองดีกว่า แต่ก็อย่างว่า ประเด็นนี้ไม่เขียนถึงไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันเชื่อมโยงอยู่กับแนวการเขียนแบบเมจิกคัลเรียลลิสม์ที่ยกมาเป็นใหญ่


ขอเวลาไปอ่านทวนอีกนิดหนึ่ง ก็กลางค่ำกลางคืนจะให้อ่านผลงานของกนกพงศ์มันก็กระไรอยู่ไม่ใช่เหรอ.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2536 ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร ผู้เขียน : ดอกเกด ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์ ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess) ผู้เขียน : ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett) ผู้แปล : เนื่องน้อย ศรัทธา ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน ปีกลายที่ผ่านมา มีหนังสือขายดีติดอันดับเล่มหนึ่งที่สร้างกระแสให้เกิดการเขียนหนังสืออธิบาย เพื่อตอบสนองความสนใจผู้อ่านต่อเนื่องอีกหลายเล่ม ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์เอย ด้านมายาจิตเอย ทำให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องความคิดเป็นจริงเป็นจัง หนังสือเล่มดังกล่าวนั่นคงไม่เกินเลยความคาดหมาย มันคือ เดอะซีเคร็ต ใครเคยอ่านบ้าง?…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ ชวนอ่านเรื่องสั้นมหัศจรรย์ ปลายกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ข่าวสารที่ได้รับค่อนไปทางรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปทั่วโลก ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นร่วงรูดเป็นประวัติการณ์ ชวนให้บรรดานักเก็งกำไรอกสั่นขวัญแขวน ไม่กี่วันจากนั้น รัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้ใช้อำนาจทำร้ายประชาชนอย่างไร้ยางอาย ตลอดวันที่ 7 ตุลาคม 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม สำนักพิมพ์ : นิลุบล ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ... แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ทั้งโลกเป็นเช่นนี้ ผู้เขียน : ชมัยภร แสงกระจ่าง ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ คมบาง เมื่อคืนพายุฝนสาดซัดเข้ามาทั่วทิศทาง กระหน่ำเม็ดราวเป็นคืนแห่งวาตะภัย มันเริ่มตั้งแต่หกทุ่มเศษ และโหมเข้า สาดเข้า ถ้าเป็นหลังคาสังกะสี ฉันคงเจ็บปางตายเพราะฝนเม็ดหนานัก มันพุ่งแรงเหลือเกิน ต่อเนื่องและเยือกฉ่ำ ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผชิญกับความกลัวที่ว่าบ้านจะพังไหม? ตัดเรือน เสา ที่เป็นไม้ (เก่า) ฐานรากที่แช่อยู่ในดินชุ่มฉ่ำ โถ..บ้านชราภาพจะทนทานไปได้กี่น้ำ นั่งอยู่ข้างบนก็รู้หรอกว่า ที่ใต้ถุนนั่น น้ำคงเนืองนอง…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย ผู้เขียน : ว.วินิจฉัยกุล ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง        ชื่อหนังสือ : อาหารรสวิเศษของคนโบราณ      ผู้เขียน : ประยูร อุลุชาฎะ      ฉบับปรับปรุง : กันยายน 2542      จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แสงแดดใครที่เคยแก่อายุเข้าแล้ว พออากาศไม่เหมาะก็กินอะไรไม่ถูกปาก ลิ้นไม่ทำหน้าที่ซึมซับรสอันโอชาเสียแล้ว อาหารจึงกลายเป็นเรื่องยากประจำวันทีเดียว ไม่เหมือนเด็ก ๆ หรือคนวัยกำลังกินกำลังนอน ที่กินอะไรก็เอร็ดอร่อยไปหมด จนน่าอิจฉา คราวนี้จะพึ่งแม่ครัวประจำตัวก็ไม่เป็นผลแล้ว ต้องหาของแปลกลิ้นมาชุบชูชีวิตชีวาให้กลับคืนมา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall ) ผู้เขียน : แพทริเซีย แมคลาแคลน ผู้แปล : เพชรรัตน์ ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน หากใครเคยพยายามบ่มเพาะให้เด็กมีนิสัยรักหนังสือ รักการอ่าน ย่อมเคยประสบคำถามจากเด็ก ๆ ของท่านทำนองว่า หนังสือจำเป็นกับชีวิตมากปานนั้นหรือ? เราจะตายไหมถ้าไม่อ่านหนังสือ? หรือเราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ไม่อ่านหนังสือจะได้ไหม? กระทั่งบ่อยครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบอย่างซื่อสัตย์ได้ไม่ง่ายนัก เป็นที่แน่นอนอยู่ว่า ผู้ใหญ่บางคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่างแต่ว่า…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ก่อนเริ่มโรงเรียนวิชาหนังสือ (สูจิบัตรในงาน ‘หนังสือ ก่อนและหลังเป็นหนังสือ’ ) จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ผีเสื้อ สัปดาห์ก่อนไปมีปัญหาเรื่องซื้อหนังสือกับพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ด้วยเพราะหนังสือที่จะซื้อมีราคาไม่เป็นจำนวนถ้วน คือ ราคาขายมีเศษสตางค์ เป็นเงิน 19.50 บาท เครื่องคิดราคาไม่ยอมขายให้เรา ทำเอาพนักงานวิ่งถามหัวหน้ากันจ้าละหวั่น ต้องรอหัวหน้าใหญ่เขามาแก้ไขราคาให้เป็น 20.00 บาทถ้วน เครื่องคิดราคาจึงยอมขายให้เรา เออ..อย่างนี้ก็มีด้วย เดี๋ยวนี้เศษสตางค์มันไร้ค่าจนเป็นแค่สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง หนังสือเล่มดังกล่าวนั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 45 (กรกฎาคม – กันยายน 2551) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา ใครที่เคยติดตามอ่านช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นรายไตรมาส เล่มเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ ย่อมมีใจรักในงานเขียนเรื่องสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าผลงานเรื่องสั้นที่ปรากฏ “ผ่านเกิด” ภายใต้รสนิยมบรรณาธิการนาม สุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้นจะต้องรสนิยมคนชื่นชอบเรื่องสั้นมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ค่อยปรากฏกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ทั้งที่ตอนประชาสัมพันธ์เปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ได้พิจารณาคัดเลือกหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ส่งประกวด ประจำปี 2551 จำนวน 76 เล่ม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือรวมเรื่องสั้น 9 เล่ม ดังนี้   1.ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่น ๆ ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ 2.เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ 3.ตามหาชั่วชีวิต ของ ‘เสาวรี’ 4.บริษัทไทยไม่จำกัด ของ สนั่น ชูสกุล 5.ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ของ เงาจันทร์ 6.เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของ วัชระ สัจจะสารสิน 7.เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ของ…