Skip to main content
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์


ผมใส่แผ่นซีดี
Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo

9_8_01

 


ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่

ด้วยย้อนคืนกลับบ้าน

ฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไป

สู่คำตอบใดๆของฉัน

และน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆ

หนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”


คืนพระจันทร์เต็มดวง เด็กชายนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพ่อ พาหนะคันเดียวในบ้าน ถนนดินสีแดงคดโค้งเหมือนวงแหวนดาวเสาร์ย้อมแดง ข้ามผ่านป่าที่เต็มไปด้วยเสียงแมลงกลางคืน เด็กชายเกาะรัดเอวพ่อแน่น มองแถบสีดำๆแนวป่าข้างทางผ่านหน้าไป


ไม่มีใครสวนทางผ่านมา มีเพียงแสงจันทร์สว่างเหมือนกลางวัน แสงนวลเหลืองอร่ามฉายอยู่ข้างหลัง


เด็กชายหันไปมองดวงจันทร์ มองมันนานๆ ประหลาดใจกับเจ้าดวงไฟบนท้องฟ้า มันเปล่งแสงออกมาได้อย่างไร จักรยานของพ่อคันใหญ่โตมาก กงล้อใหญ่ โครงเหล็กใหญ่ๆ ที่นั่งหลังเป็นเหล็กตะแกรงใหญ่ มันใหญ่อย่างกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ๆ


มุ่งมาตามถนนสายนั้น กลับมาบ้าน..


ผมหยิบ นิค อาดัมส์ วัยหนุ่มของศิลปิน งานของ เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ แปลเป็นภาษาไทยโดย สิทธิชัย แสงกระจ่าง ผมพกมาด้วยตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทางกลับมาบ้าน ผมมักพกพาติดตัวไปบ่อยครั้ง ประหนึ่งว่าเป็นคำภีร์งานเขียนเล่มหนึ่ง

 

9_8_02


ผมชอบงานชิ้นนี้ งานเขียนที่ช่วยปรับทัศนะความเห็นถึงโลกงานเขียนเสียใหม่ ว่าไม่ต้องปีนบันไดขึ้นไปเขียน ก็สามารถเขียนหนังสือได้ ใช้ภาษาง่ายๆ คำพูดโต้ตอบธรรมดาๆ ฉาก
-เรื่องชีวิตประจำวัน แต่เต็มไปด้วยบรรยากาศของจิตใจค้นหาใฝ่รู้ เดินทางเฝ้าสังเกตุ เฝ้ามองติดตาม เข้าไปมีส่วนร่วม พูดง่ายๆว่าเรื่องของการใช้ชีวิตจริง


เขียนเรื่องจริงออกมา ดูเหมือนเขียนเรื่องจริงที่ดำเนินไปวันๆจริงๆ ไม่ต้องห่วงกับพล็อตเรื่อง พัฒนาการของตัวละคร โครงเรื่องซับซ้อนวกวนชวนเวียนหัว ก่อนจะจบลงเอยด้วยสิ่งเหนือความคาดหมาย นึกอยากจะจบ ก็จบเอาดื้อๆอย่างนั้น


เหมือนชีวิตจริง

เริ่มต้นและจบเรื่อง ดูแสนธรรมดา ง่าย และให้ความรู้สึกกระเพื่อมอยู่ภายในใจ

แรงบันดาลใจอันมากมาย และทำให้เลิกกลัวโลกของงานเขียน ที่ดูเคร่งครัดใหญ่โต มีแบบแผนแตะต้องไม่ได้ เป็นหลักไมล์หนาหนักที่ข้ามลำบากเหลือเกิน ให้รู้สึกว่างานเขียนเป็นเรื่องง่าย ไม่ได้เป็นยักษ์ทรนงที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปเขียนบนหลังคาของความยาก


ผมอ่านผ่านสารบัญชื่อเรื่องอีกครั้ง เสียงปืนสามนัด กระโจมพักพวกอินเดียน อินเดียนสิบคน .. ดินแดนแห่งความสุขสุดท้าย ในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง พายุสามวัน ผู้คนแห่งฤดูร้อน ทำงานเขียน ฤดูใบไม้ผลิที่หุบเขา

ผมเปิดไปยังเรื่อง ทำงานเขียน


..
ถ้างานเขียนจะมีอะไรดีขึ้นมาก็เป็นเพราะสิ่งที่คุณสร้างขึ้น สิ่งที่คุณจินตนาการขึ้นมา มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ..


เขามักทำงานได้ดีที่สุดตอนเฮเลนล้มเจ็บ อะไรที่ไม่น่ายินดีขนาดนั้นนั่นแหละ จึงจะทำให้เกิดงานเขียนขึ้น มีบางครั้ง เมื่อจำเป็นต้องเขียนหนังสือด้วยความจำใจ ไม่ใช่ด้วยจิตสำนึกที่จะทำ มันก็เป็นเพียงเรื่องที่แค่เป็นเรื่องเท่านั้น ต่อเมื่อในบางครั้ง คุณรู้สึกเหมือนกับว่าจะเขียนเรื่องอะไรไม่ได้เลยหลังจากนั้นนั่นแหละ ไม่ช้าไม่นาน คุณอาจสามารถเขียนเรื่องที่ดีได้อีกเรื่องหนึ่งทีเดียว


งานเขียนเป็นงานที่สนุกยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น นั่นเป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เขาทำงานเขียน เขาไม่เคยตระหนักในความจริงอันนี้มาก่อนเลย ไม่ใช่เรื่องจิตสำนึกแต่อย่างใดเลย มันเกิดขึ้นง่ายๆ เพียงเพราะมันเป็นสิ่งน่าสนุกน่าพึงใจเท่านั้น เป็นความรู้สึกที่มันในหัวใจยิ่งกว่าการกระทำใดๆทั้งสิ้น แต่การจะเขียนเรื่องให้เป็นเรื่องที่ดีได้นั้น เป็นเรื่องยากฉิบหายจริงๆ..”


โดนประโยคพวกนี้ในวัยศิลปินหนุ่มเข้าเต็มๆ เอาเกียรติยศศักดิ์ศรีหรือความสำเร็จใดๆมาวางไว้ยั่วล้อไม่ได้อีกแล้ว


ชีวิตนี้ต้องเขียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น

พลังดึงดูดความสนใจให้หันมาเขียนหนังสือมีมากพียงนั้นนั่นหรือ ผมก็คงบอกได้ว่า ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าวัยหนุ่มศิลปินยังยืนยันเรื่อยมา


ผมนั่งอ่านนิค อาดัมส์ วัยหนุ่มของศิลปิน ด้วยความรู้สึกของงานเขียนเป็นเรื่องสาระของลมหายใจผู้เขียน


ฝนตกหนาเม็ด ครึ้มหม่นมัวซัว เปลี่ยนแผ่นซีดี หยิบงานของ รังสรรค์ ราศี-ดิบ ที่พกติดมาด้วยเช่นกัน เริ่มด้วยเพลง นิยาม ..

 

9_8_03


ฟ้าที่มืดมน เมื่อเมฆฝนพลันสดใส

ใจที่เคยร้าว เริ่มมีความหวังขึ้นมา...

เป็นดั่งสายฝนกลางทะเลทราย

ดังดวงดอกไม้บานบนภูผา

เป็นดั่งสีสันของกาลเวลาที่รักล้ำค่า

ที่เราจะมีให้กัน ..”


ถนนเปียกฝนเปลี่ยนฉากเก่าก่อนไปอย่างไม่เหลือเยื่อใย ปลายถนนมีทะเลสาป อีกปลายถนนมีเทือกเขาใหญ่ ผมเริ่มนับวันย้อนเดินทางกลับ ต้นทาง ระหว่างทาง ปลายทาง ล้วนต้องออกเดินแรมรอนทั้งนั้น


ผมผ่านไปตามเส้นทางที่ผมอยากไปจนเต็มอิ่ม อย่างกับไปตากอากาศในฉากชีวิตเก่าๆ ที่ดูราวเพิ่งผ่านไป อย่างหนึ่งที่ต้องไปให้ได้ และคิดว่าเป็นสถานที่สุดท้าย นั่นคือท่าเรือปากพะยูนริมทะเลสาบ ไปให้ถึงร้านขายปลาแห้งริมฝั่งน้ำท้ายตลาด

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ห้องครัวซ้อมดนตรี ถึงเพลงบันนังสตา บ้านเช่าบ้านไม้เป็นบ้านชาวนาในหมู่บ้านแม่เหียะ ชานเมืองเชียงใหม่   ห้องครัวคือห้องทำงาน  ห้องนอนบางเวลา  ห้องซ้อมดนตรี   ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก 
ชนกลุ่มน้อย
ประชาชน  สัตว์เลี้ยงของแวมไพร์
ชนกลุ่มน้อย
สองทุ่ม   อังคารที่ 16 มีนาคม  2553   นักดนตรีในเชียงใหม่  และคนในแวดวงหนังสือ ศิลปะ  นัดรวมตัวกันที่ร้านสุดสะแนน  ร่วมรำลึกถึงการจากไปของ ”จ่าเพียร”(พ.ต.อ สมเพียร เอกสมญา) วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด  ด้วยสายสัมพันธ์กับไวล์ดซี๊ด (ชุมพล  เอกสมญา) ลูกชายจ่าเพียรที่ผ่านมาเล่นดนตรีในเชียงใหม่อยู่เสมอๆ   เยียวยาจิตใจเมล็ดเถื่อนจากบันนังสตา  ร่วมรำลึก ...   
ชนกลุ่มน้อย
ขอต่อยาวสาวความยืดถึงน้ามาดบางมุมดูหน้าดุ เวลาเดินเหมือนนุ่นลอยอีกหน่อย อย่างที่บอกไว้ บุรุษไร้นาม(และหนาม)ตามใจคนนี้ อย่าให้นั่งหน้าทับหน้าหนังกลองแล้วกัน ความจืดของหน้าจะถูกขับออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไม่เรียบเฉยปล่อยวางอีกแล้ว บางด้านดูดุเทียบได้ใบหน้าเสือจ้องขบ กลับเกลี่ยเสียใหม่ เป็นเสียงทะลวงไส้พุงเร้าใจผิดหน้าผิดหูผิดตาไปทันที
ชนกลุ่มน้อย
  “เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย “ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …
ชนกลุ่มน้อย
  สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...
ชนกลุ่มน้อย
นักดนตรีกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยความรัญจวนจากฤดูความว่างของชีวิต ออกไปเล่นดนตรีบรรเลงชีวิตร่วมกัน หรือจะพูดอีกที การมาถึงของพวกเขาใต้สวรรค์ ไม่ต่างจากฝูงปลาดุกหนีน้ำแถกเหงือกมาหากันในช่วงหน้าแล้ง หนวดยั้วคลุกนัวกันมาบนโคลนเปียกๆ เหนียวเหนอะไปยังถิ่นที่คาดว่าจะมีน้ำ สีผิวฝูงปลาดุกเลื่อมมันน่าเกรงขาม
ชนกลุ่มน้อย
คำ  สุวิชานนท์ รัตนภิมล และคำของอา' รงค์ ทำนอง  สุวิชานนท์  รัตนภิมล
ชนกลุ่มน้อย
ลมบาดหิน ของอา… “ผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขาตัดสินใจแรมคืนในกระโจม(เต็นท์) เขาพบว่าการเสียบก้านปลั๊กตัวผู้ลงในรูปลั๊กตัวเมียเพื่อต้มน้ำกับกาไฟฟ้านั้นเป็นความสะดวกสบายของคนในทาวน์เฮาส์ที่กรุงเทพฯ และอย่างน่าอิจฉา แต่การมองหาก้อนหินนำมาวางเป็นก้อนเส้า กิ่งไม้ง่ามปักกับดินแล้วพาดราวแขวนหม้อและริ้วชิ้นวัวฝานหมักเกลือ ก่อกองไฟและต้มกาแฟ นี้เป็นบางแบบของชีวิตซึ่งผู้ชายควรเรียนรู้...”
ชนกลุ่มน้อย
พอออกมาจากห้องฝึกเรียนไวโอลินกลางเมืองเชียงใหม่  ผมบอกเจ้า 9 ขวบว่าไปเยี่ยมคุณลุงหน่อยนะ   เจ้าเก้าขวบถามทันทีที่ไหน  ผมตอบกลับวัดเจดีย์หลวง  ไปทำอะไรเหรอ เขาสงสัย  อยากไปเยี่ยม พ่อไม่ได้เข้าไปนานแล้ว
ชนกลุ่มน้อย
  ในห้องทำงาน โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้ไม่เหมือนวันก่อน หนังสือเล่มใหม่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเล่มมาวาง ชั้นหนังสือเรียงตามกัน โน้ตสั้นๆ เขียนถึงเวลานัดหมาย เวลาส่งงาน หมายเลขโทรศัพท์ ม้านั่งไม้ไว้นอนเอกเขนก โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะกลม กีตาร์ กล้องถ่ายรูป รูปภาพบนผนัง ...
ชนกลุ่มน้อย
  ในชีวิต ณ ปัจจุบัน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาข้องเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชื่อ ไวโอลิน และยิ่งไม่เคยนึกว่าวันหนึ่ง จะมีไวโอลินมานอนอยู่ในห้อง ตั้งวางอยู่ข้างตัว รวมถึงได้ยินมันส่งเสียงทุกวันตอนย่ำค่ำ