Skip to main content


30
สิงหาคม 2540

08.35 . รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีด


โอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าว

เธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”


หนังสือ ลมหายใจสงคราม” ของอา รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง

..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น ผมยืนยันว่าคุณจะเขียนนวนิยายสงครามไม่ได้แน่นอน ถ้าคุณยังขมขื่น...”


ผมกำลังตกลงไปในถังภาษาของนักเขียนรุ่นพ่อ


13.45
. ไม่น่าเชื่อ สายกีตาร์เบอร์ 12 หายากยิ่งกว่าหาเข็มในพงหญ้าบ้านเช่า ร้านขายเครื่องดนตรี--ร้านสุดท้าย ก็ไม่ทำให้ผมสมหวัง


หนทางชีวิตยิ่งหนักหน่วงขึ้นใช่ไหม สายเหล็กเบอร์อื่นอ่อนเกินไป เล็กเกินไป นุ่มเกินไป ต้องเป็นสายเบอร์ที่ง่ายทำให้มือเจ็บช้ำ


ฝนเริ่มตกหนัก ขับรถมากลางฝน


14.00
. เสียงฝนดังลั่นกังวานอยู่ในร้านหนังสือเก่า หนังสือคลุกฝุ่น กลิ่นอับชื้น กระดาษหนังสือซีดๆเหลืองไปตามกัน เหมือนอยู่ร่วมงานศพหนังสือ 1,000 ศพ กลิ่นซากแห้งๆโชยผ่านจมูก นวนิยายไทยปกแข็งรวมอยู่บนชั้นวางเหมือนไม่เคยพลิกตัวมานานเป็นปี


ทำไม! ผมต้องคิดนำไปเปรียบเทียบกับตายาย ที่ถูกลืมอยู่ในบ้านชนบท แบบเสียดเย้ยชะตาอยู่ในหัวอก


17.55
. เธอบอก ไปไหนก็ได้ เหมือนละเมอขึ้นมาขับรถออกไปตามถนนที่ไม่รู้จักใครเลย เพียงให้ออกมาจากห้องไม้แคบๆ หยากไย่ใต้เพดานที่ปลวกกำลังกัดกิน เจ้าของบ้านไม่ห่วงว่าบ้านจะพังลงมาทับร่างคนเช่า(เมื่อไหร่?)


ห่างจากถนนใหญ่ยิ่งขึ้น ผ่านหมู่บ้านชาวนา หมู่บ้านทำอิฐดินเผา ผ่านเพิงปีกไก่ทอด ควันคลุ้ง เลาะสนามบิน ผ่านหน้าวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ผ่านประตูทางเข้าบ้านจัดสรร ยามในเครื่องแบบทะมัดทะแมงยืนระแวดระวังคนผ่านประตูเข้าออก


ดวงไฟตอนย่ำค่ำคล้ายลอยมาจากอากาศ เพิ่มขึ้นทีละดวงสองดวง


20.35
. เสียงดัง ปัง! ดังจากใต้ท้องรถ รถสูญเสียการทรงตัวเหมือนดุ้นไม้ไล่ตีพื้นเหล็กใต้ฝ่าเท้า คูคลองเลียบถนนยิ่งขยายกว้างใหญ่ ขยับมาอยู่ใกล้ประตูรถอย่างฉับพลัน ไฟหน้าสาดส่องผิวน้ำระยิบระยับสะท้อนแสงเข้าตา


รถหยุดนิ่ง ผมถอนใจยาว

รถยางแตก

ผมเคว้งคว้างอยู่ในความมืดใต้ท้องรถ พื้นผิวถนนเปียกน้ำ เนื้อหนังแนบกับพื้นถนน แม่แรงยกรถส่งเสียงหนักอึ้ง แสงไฟรถวิ่งผ่านไปมาเปิดไฟสูงต่ำ เหมือนเสียงเตือนบอกอันตราย

แต่ไม่มีไฟดวงใดหยุดมาถามไถ่

นานนับชั่วโมง เอาล้อใหม่มาเปลี่ยนล้อหมดสภาพ

วันนี้ ผ่านไปแล้ว ...

 



31
สิงหาคม 2540

ฝนตกตั้งแต่กลางดึก ถึงเช้ามืด กลิ่นกาแฟร้อนผ่านสายฝนโปรย บทเริ่มต้น ณ เช้าวันใหม่ ดูอบอุ่นทีเดียว โลกเปียกไปทุกด้าน น้ำปริ่มสระหลังบ้าน เสียงหยดน้ำจากใบอโศก หรือจะเรียกว่าเม็ดฝนกำลังฆ่าตัวตายตามกัน

เป็นสระ เม็ดฝนตายรวมหมู่


09.00
. ผมมีนัดขนย้ายสิ่งของให้น้องคนหนึ่ง เขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ เรานัดหมายกันด้วยวาจาหนักแน่น ฝนตกฟ้าร้องหนักเพียงใด ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น

09.30 . เขาบอกค่อยขนย้ายวันหลัง..

09.40 . หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ พาดหัวข่าวแท็กซี่คนซื่อหลอกลวงประชาชน น่างงจังเลย ซื่อแล้วหลอกลวง ยังไง! เขากุเรื่องขึ้นมา บอกพบเงินก้อนโต อยากเล่นเกมสนุก เล่นซ่อนหากับนักข่าวนั่นเหรอ ข่าวนี้ดังไกลถึงกลางป่าสนวัดจันทร์ (1,500เมตร เหนือระดับน้ำทะเล)

10.25 . ผม – เขา ตัดสินใจมุ่งไปอำเภอดอยสะเก็ด บางที เรารู้สึกว่า ชีวิตเหมือนรถที่ไม่มียางสำรอง และยามนี้ รถไม่มียางสำรองจริงๆ


เป็นสีสันไม่ใช่หรือ ขาดๆ หวั่นๆ ไม่สมบูรณ์แบบ


ทางสัญจรเส้นนี้ ผมผ่านมาเป็นครั้งแรก พลันเข้าไปยังบ้านไม้เก่ามีใต้ถุนสูง ซอกมุมหนึ่งมีไว้รับงานจากข้างนอกมาทำ เป็นงานไม้ที่อาศัยทักษะฝีมือ หน้าบ้านเป็นนาข้าวเขียว แต่ล้อมนานั้นเป็นหมู่บ้านจัดสรร


ถนนลาดยางแคบๆ เชื่อมต่อดอยสะเก็ดกับอำเภอสันกำแพง นานๆจะมีรถสวนมาสักคันหนึ่ง ยังดูสงบเรียบๆอย่างไม่น่าเชื่อ


บอกลาชายช่างไม้ สู่เส้นทางกลับบ้าน แต่ในระหว่างทางนั้น เราพลัดหลงไปบนความตายสัญจร

 

*** หมายเหตุ

พบบันทึกชิ้นนี้อย่างบังเอิญ เลือกมา 2 ตอนจบ หากไม่เขียนไว้ ณ ปี พ.ศ นั้น เหตุการณ์นั้น คงลบเลือนหายไปแล้ว เวลาผ่านไป เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เก็บมาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ถือเสียว่า เป็นบันทึกที่คุณบังเอิญผ่านไปอ่าน และไม่เคยรู้จักชื่อคนเขียน

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ