Skip to main content

คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน

 


แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม

ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”


กี่ปีกว่าจะถึงวันนี้”

เขาเงียบนิ่งคิด

สิบห้าสิบหกปีมาแล้ว แต่มันเพิ่งให้ลูกมากเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา”..

ทำไมไม่เอาไปขายในเมือง” นกหิวกินแล้วยังออกความเห็น

ไม่มีราคา ใส่รถกระบะไปขายก็ไม่คุ้มค่าน้ำมัน ปล่อยให้เด็กกินดีกว่า เรียกให้มาเก็บเอาไป นอกนั้นปล่อยให้นกกินบ้าง แมงกินบ้าง หล่นไปบ้าง ทำน้ำหมักบ้าง” น้ำเสียงเขาไม่รู้สึกเสียดาย


เขารู้ราคาในตลาดดี ว่าพลัมเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนบางคนเท่านั้น เป็นผลไม้ที่คนทั่วไปซื้อรับประทาน วางเรียงเคียงกับลองกองลางสาด เงาะ มะม่วง ทุเรียน รับรองว่าพลัมจะถูกสนใจเลือกเป็นลำดับสุดท้าย



พลัมของพี่ปลอดสารเคมี ไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ฉีดยาทุกชนิด” ราวกับความคิดนกบุกสวนจะใหม่เอี่ยมถอดด้าม

อันที่จริงเขาไม่สนใจเรื่องการขายเลยก็ไม่ใช่ เขาลงแรงขุดหลุมปลูกไม้ผลด้วยตัวเองบนพื้นที่ราวสี่ห้าไร่ล้อมรอบบ้าน นับเป็นร้อยๆหลุม ด้วยความหวังว่าไม้ผลร้อยๆต้นจะให้ผลผลิตกลับมาเป็นกอบกำสักวันหนึ่ง


เส้นทางการปลูกของเขาก็ไม่ธรรมดา ใครๆก็รู้ว่าดินบริเวณนี้มีความเป็นกรดเป็นด่างสูงมาก ดินเปรี้ยวเป็นดินเหนียว ปลูกพืชชนิดไหนก็ไม่ขึ้น เขาเอาชนะดินได้อย่างไร ช่างเป็นการงานที่เสี่ยงจะได้รับผลตอบเป็นความสูญเปล่า


แต่เขาคงมีความเชื่อมั่นบางชนิด ผลักดันให้เกิดความเชื่อว่ามันจะเกิดผลสักวันหนึ่ง เขาขุดบ่อน้ำริมลำห้วยแล้วดึงน้ำขึ้นมาใช้ ขุดหลุมกว้างเพื่อใส่ขี้วัว ใบไม้ แกลบ ปูนขาว และไม่แตะปุ๋ยเคมียาเคมีทุกชนิด เพราะเขาเชื่อว่าสารพวกนี้จะทำลายสิ่งมีชีวิตในสวน


ลองขุดไปดู เห็นมั้ย ขี้วัวแกลบทั้งนั้น” เขาเอาจอบขุดลงตรงโคนต้นพลัมต้นหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า ที่มันโตอย่างนี้ได้เพราะเราเตรียมอาหารให้มันเพียงพอ ไม่ดูแลอย่างนี้ ไม่ทำติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง มันก็คงไม่ออกดอกผลอย่างที่เห็น


คุณผ่านไปเห็นไม้ผลขึ้นแกร็นๆอยู่หลายครั้งหลายปี มันงอกขึ้นอย่างเชื่องช้า อืดอาดยืดยาดไม่ทันใจ ไปกี่ครั้งๆก็เห็นไม้งอกแคระแกร็นอยู่อย่างนั้น ยากจะหวังผลเก็บกินในเร็ววัน ใครผ่านไปมาก็ให้คะแนนลบทุกครั้ง


แต่เขากลับไม่หวั่นไหว ค้นหากุญแจดอกสำคัญที่จะสร้างสวนให้งอกงามขึ้นมาให้ได้ นอกเหนือจากใส่ขี้วัวขี้ค้างคาวที่หามาได้ในหมู่บ้าน เขายังไปรู้จักน้ำหมักชีวภาพ เอาผลไม้ที่เหลือกิน ฟักแฟงแตงกวามะละกอเปื่อยเน่านำมาหมักปุ๋ยชีวภาพ


ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ ไม้ผลรอบบ้านเขาจะท่วมมิดหลังคา บ้านหายไปในดงพุ่มไม้ผล กลายเป็นที่เก็บอาหารมีชีวิต หมุนเวียนเปลี่ยนผลไม้ให้กินได้ทั้งปี ไม่เว้นแม้แต่พืชผัก พริก ข่าตะไคร้ เครื่องยาสมุนไพรอีกหลายชนิดมีให้เก็บกิน


ใครผ่านไปมาต้องมองชะเง้อดูด้วยความประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าดินเปรี้ยวจะให้ผลมากมายถึงเพียงนั้น

แน่นอนว่า ในปีแรกๆ ที่ได้รับผล เขาเคยเอาลงไปขายยังกลางเมืองเชียงใหม่บ้าง แต่กลับเป็นไม้ผลเกินเลยของคนทั่วไป ทั้งขายยากขายไม่ได้ราคา ไม่มีที่วางขาย หรือบางครั้งเน่าเสียต้องทิ้งไป


ระยะทางป่าภูเขาจากสวนถึงเมืองเชียงใหม่เกือบ 200 กิโลเมตร จากความสูงของป่าสนกว่า 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สู่เมืองที่ราบลุ่มริมฝั่งน้ำปิง ดูเป็นเรื่องยากสำหรับไม้ผลที่ออกลูกดกเหลือกินเหลือใช้ แต่มองไม่เห็นที่วางให้อยู่ใกล้มือผู้ต้องการบริโภค


เก็บลูกหล่นดิน เอาไปทำน้ำหมัก ทิ้งให้เปื่อยไปบ้าง นกค้างคาวมากิน เด็กๆมากินบ้าง”

ปล่อยเป็นโต๊ะเป็นเลี้ยงนกดีๆนี่เอง” พูดจบนกจรก็สวมวิญญาณนกป่าเก็บผลพลัมลูกเหลือง เลือกเอาลูกอวบอิ่มใส่ปากอีกที


ใครมีโอกาสแวะไปบ้านวัดจันทร์ (มูเส่คี ปากทางเข้าก่อนถึงอำเภอปายราว 10 กิโลเมตร ไปต่ออีกราว 1 ชั่วโมง) ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฏาคม ลองหยุดแวะสวนพลัม สวนที่ไม่ได้มีเพียงพลัม ถามหาเจ้าของสวนที่ชื่อทองดี แวะอุดหนุนซื้อติดมือมาบ้าง คงจะได้ส่วนที่แถมมากกว่าส่วนที่ซื้อกลับบ้านอย่างแน่นอน




บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ