Skip to main content

1

ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   

แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  

พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่  ติดตามเราอยู่ทุกฝีก้าว   คอยสอดส่องดูความเป็นไปของชีวิตผู้คนแถบนี้มาหลายชั่วอายุคน

ตั้งแต่ออกมาจากริมฝั่งน้ำแม่เงา  ผมรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนเวลา  กลับไปหาดินแดนโลกไม่คุ้นเคย  สู่พื้นที่สู้รบของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย  เต็มไปด้วยความลี้ลับ  และอันตราย  การรู้ล่วงหน้าถึงความป่าเถื่อนที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องรบกวนใจอย่างหนึ่ง   

ตลอดเวลาเดินทาง  ผมอยู่ในห้วงความรู้สึกคุกรุ่นด้วยความหวาดระแวง  ถึงกระนั้นก็ตาม  พะเลอโดะเป็นเสมือนสิ่งยืนยันความปลอดภัย   

พะเลอโดะชอบเดินทางกลางคืน  เขาพูดให้ชวนหัวว่า  เดินทางกลางวันมันร้อน  บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน  กลางคืนมีโชคกว่า  เย็นสบายกว่า  อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่พลังชีวิตอ่อนล้าที่สุด  ธรรมชาติร่างกายต้องพักผ่อน  หาที่หลบซ่อนตัว  เก็บตัวไว้ในที่ปลอดภัย  รอให้ถึงรุ่งเช้าของวันใหม่    
แต่สัตว์ออกล่าเหยื่อกลางคืน  ต้องยกเว้น     

2

เราออกมาจากบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมน้ำสาขาแม่น้ำเงา   ลุงเวยซารู้มาตลอดว่าลำห้วยสายที่แกดื่มกิน อาบใช้อยู่ทุกวันนั้นไหลลงสู่โข่โละโกร  แต่ให้แกเดินไปนั้น  แกไม่อยากไปหรอก  สมัยที่แกยังเล็กมาก  แกเดินข้ามป่าผืนใหญ่ทั้งวันทั้งคืน  ไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะไปหยุดลงที่ไหน  ต้องนอนพักกลางป่า  ทำเพิงพักด้วยใบไม้กันน้ำค้าง   ค้างคืนตามห้างไร่  กว่าจะมาถึงริมฝั่งแม่น้ำเงา

เวลาชั่วอายุคน  ไม่นานเกินที่จะแยกแยะว่าตรงไหนปลอดภัย   ตรงไหนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  แกมาอยู่ในที่ปลอดภัยจากการสู้รบ  เดินไปไหนตามป่าได้โดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ   น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง   ผิวหนังแกมีประกายแสงเรื่องรอง  ที่จะเรียกผมเดินตามแกไปทุกฝีก้าว  ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  

ผมเตรียมเสื้อผ้าหนาๆมาหลายชุด  พร้อมถุงเท้าหนา  ถุงมือ  หมวกถักคลุมหัว  ด้วยคิดว่ายุงน่าจะเบื่อเจาะเข้าไปให้ถึงผิวเนื้อ  แต่ลุงเวยซาทำให้ผมพบความจริงอีกด้าน  ว่าเนื้อตัวเรืองแสงเปล่าเปลือยทำให้ยุงกลัว  มีแค่เตี่ยวสะดอเก่าๆ  ไม่สวมรองเท้า  เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่หวั่นไหว

พะเลอโดะบอกว่า  ยุงแถวนี้เรียกพี่  เชื้อไข้มาลาเรียกลัว  ทำอะไรแกไม่ได้         

ปากแกต่างหาก  กลับทำงานอยู่ตลอดเวลา  สูบพ่นยาสูบด้วยกล้องยาไม้ไผ่ ควันผุยๆอย่างกับควันเผาไร่    พะเลอโดะบอกว่ายุงกลัวยาสูบมากกว่ากลัวแก   เวลาแกยิ้มครั้งใด  สีดำเมื่อมจากซี่ฟันคงเปล่งแสงไล่ยุงได้ด้วย

ก่อนออกเดินทาง   เราต้องเดินข้ามป่ามาไกลมาก  เราน่าจะเดินตัวเบา  หากไม่มีข้าวของติดไม้ติดมือมาด้วย   ซอมีญอกับกะฌอดูแข็งแรงเกินคน  เขาแทบไม่ส่งเสียงใดๆ  ยิ้มด้วยแววตาเศร้าๆแทนคำพูด  แต่แข็งแรงอย่างกับม้า  สองคนขนของขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว  ในมือผมมีเพียงเต็นท์กับเป้บนหลังเท่านั้น  แต่ดูหลังของเด็กหนุ่มทั้งสองนั้น  เต็มไปด้วยข้าวของติดตัวที่ดูราวกับม้าต่างบรรทุกของมาเต็มอัตรา    

3

ว่าไปแล้ว  ทุกชีวิตในป่าแถบนี้   ล้วนคุ้นเคยกับการย้ายถิ่นที่อยู่   เต็มไปด้วยเรื่องราวการอพยพโยกย้าย  หาที่หลบภัย  ไม่มีใครปักหลักอยู่ที่ไหนนาน   ลุงเวยซาย้ายไปมานับครั้งไม่ได้  ราวกับว่าการอพยพโยกย้ายเป็นโรคที่ระบาดอยู่ตามป่าเขาริมตะเข็บชายแดน  เชื้อร้ายฝังตัวอยู่ตามป่าแถบนี้มาหลายชั่วอายุคน  โดยเฉพาะช่วงเสียงปืนกัมปนาทขึ้นบนแผ่นดินพม่าในหน้าแล้ง

รถจิ๊ปจอดรออยู่กลางป่า  มันเป็นม้าโบราณที่ทนแดดทนฝน  สมบุกสมบัน  และกลมกลืนกับสีของใบไม้   เหมือนว่าถนนหนทางไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนไปข้างหน้า  มันพร้อมจะพุ่งไปฝ่าไปบนความรกเรื้อ  ไม่มีเส้นทาง  จนกว่าจะพบกับทางชัน  

ลุงเวยซาตบหัวลูบหัวรถ ราวกับเห็นมันเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่โตเต็มไปด้วยพละกำลัง

ตอนใกล้ค่ำ  ลุงเวยซาขอแวะที่ศาลเจ้าต้นจูเกริมฝั่งน้ำเงา   เด็ดดอกไม้ข้างทาง  พร้อมหมากพลูไปเซ่นไหว้ขอให้เดินทางไปโข่โละโกรอย่างปลอดภัย   ลุงเวยซาเดินกลับมาพร้อมกับหินก้อนหนึ่ง  แกบอกว่าเอาไปฝากโข่โละโกร

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ