Skip to main content

 

เหมือนคนฟื้นจากป่วยไข้ต่อเนื่องมานาน พอไปยืนอยู่กลางไร่ยางโตน

เครื่องยนต์ที่ผ่านโรงซ่อมมาใหม่หมาด ก็ถูกทดสอบชิ้นส่วนแตกหักที่ประกอบขึ้นมาใหม่ กลไกภายในเริ่มเข้ารูปรอย ให้กลับมาใช้งานอย่างเดิมได้อีกครั้ง
พบลุงในช่วงเวลาภายในผมอย่างนั้น …

\\/--break--\>


ผมไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่า มีคนไร่คนสวนคนหนึ่งตามอ่านงานเขียนของผม อย่างชนิดตามติดเล่มต่อเล่มมาหลายปี เขียนอยู่ที่ไหนก็ไปตามอ่านที่นั่น คนอ่านคนนั้นอยู่ในวัยคนรุ่นพ่อ
เขาบอกผม แต่ใจผมกลับเย็นเยือก ประหม่า ขวยเขินและไม่แน่ใจ

 

แต่ทันทีที่พบหน้ากัน เป็นความรู้สึกเหมือนเจอญาติสนิท
ลุง” ผมเรียกติดปาก
ผู้ปักหลักทำความเข้าใจกับดินน้ำอากาศหน้าดอยหลวงเชียงดาวมาครึ่งค่อนชีวิต รู้จักกันในชื่อ ไร่ยางโตน

 


เจ้าลูกชายเดินหยิบหนังสือปกเหลืองซีดๆบนชั้นวางโรงเรือนติดต่อ แล้วพูดว่า หนังสือพ่อใช่ไหม มาอยู่ที่นี่ได้ไง มันเป็นหนังสือเล่มแรกของผม เล่มพิมพ์ครั้งแรก หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชื่อ ใต้เงาภูเขา แล้วความลับทุกอย่างก็เปิดเผยออกมา
คนเขียนหนังสือแวะมาพักในไร่คืนนี้
ลุงพูดถึงหนังสือเล่มโน้น เล่มนี้ ฉากนั้นฉากนี้ สลับกับเล่าเรื่องไร่ยางโตน ในช่วงเวลาต้องขี่เกวียนเข้ามา เดินเท้าเข้ามา สู่พื้นที่ของความเงียบหน้าดอยใหญ่ ในช่วงเวลาที่ดินมีราคาต่อไร่ไม่กี่ร้อยบาท แต่วันนี้ที่ดินหนึ่งไร่แถบนี้อยู่ในราคาตัวเลข
6 หลัก

 


ไร่ของลุงกว้างใหญ่ ที่พักของลุงเป็นไข่แดงอยู่กลางไร่ ที่พักไว้ต้อนรับผู้มาเยือนอีกหลายหลัง ในแบบกระท่อมหลังเล็กๆ เรียบง่าย ใช้วัสดุในท้องถิ่น และได้กลิ่นของท้องถิ่น กระท่อมแต่ละหลังซ่อนตัวอยู่ใต้สุมทุมพุ่มไม้
กระท่อมที่เหมาะพักแรมข้ามคืนด้วยความรู้สึกคนผ่านทางมา
แต่มากกว่าที่พักก็คืนสถานแห่งแรงบันดาลใจ


ผมพกเครื่องมือไปพร้อม หวังจะได้ทำงานในทุกอย่างที่อยากทำในช่วงเวลาสั้นๆ อยากซ้อมกีตาร์ก็คว้ามาได้ อยากเขียนก็มีเครื่องมือพร้อมเขียน อยากนอนเปลก็พร้อมผูกเปล
เป็นช่วงเวลาทดสอบเครื่องยนต์ที่เพิ่งออกมาจากโรงซ่อมจริงๆ
หรือจะพูดว่า เป็นช่วงเวลาที่ลืมว่าชีวิตต้องกระทำเรื่องใดบ้าง
เวลาโลกถูกปิดไปชั่วขณะ เหลือแต่เวลาตามใจตัวเอง
และเป็นช่วงเวลาที่ผมเลือกจะไปเสพชื่นชมพื้นที่ความสำเร็จของคนอื่นบ้าง โลกความสำเร็จที่น่าจะเป็นคุณค่าความงาม หลบๆซุกๆอยู่บนแผ่นดินที่ราวกับไม่มีใครเห็น

 


ผมเคยผ่านมายังพื้นที่แห่งนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่คราวนั้นมาอย่างรีบๆ รีบนอนรีบไป มาถึงมืดค่ำแล้ว ทุกอย่างเหมือนอยู่ในชั่วโมงนอนหลับ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ดูไม่ต่างไปจากฉากหนังอาชญากรรมลึกลับ
ประมาณว่าตัวเอกพลัดหลงไปยังบ้านพักที่ไม่มีคนอยู่ แต่ต้องค้างคืน รอบๆตัวเห็นแต่เครื่องมือทำเกษตร เสียม จอบ มีด เชือกเส้นใหญ่ๆ รถเก่าๆจอดอยู่ แสงไฟสลัวๆทำให้ทุกอย่างดูคล้ายใบหน้าคนตื่นอยู่ในความมืด
และไม่รู้จะออกมาปรากฎตัวทำให้กลัวในเวลาไหน
ครั้นจะออกไปในบัดนั้น ก็นึกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว คิดอะไรให้มากมายไปเล่า
แต่น่าแปลก หลังกลับออกมาคราวนั้น ทำให้ผมคิดถึงบ่อยๆ และอยากจะกลับไปอีกครั้ง


กลับไปคราวนี้ ผมพาเจ้าลูกชายไปด้วย
ใบหน้าลุง เป็นคนกลางแจ้ง ผมสัมผัสได้อย่างนั้น ลุงมีบางอย่างอยู่ในตัวที่เรียกได้ว่าเป็นศิลปะในตัวเอง ความฝันของลุงที่กระโจนลงไปสู่พื้นที่ทำเกษตร เริ่มมาตั้งแต่วัยสามสิบต้นๆ หล่อหลอมลุงจนผืนดินลุกขึ้นมาเดินได้

ลมหายใจลุงมีกลิ่นต้นไม้
หากลบภาพคนติดตามตัวหนังสือที่ผมเขียน ผมก็ยังเชื่อว่าแววตานั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง แววตาของคนยังเป็นหนุ่ม ใจเย็น เอื้อเฟื้อ ผ่านโลก แกร่งต่อโลก แกร่งอยู่ในท่าทีนุ่มนวล มากด้วยเรื่องเล่าประสบการณ์น่าฟัง ฯลฯหรือจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่คนเล็กๆ ที่พร้อมจะให้โอกาสเด็กตัวเล็กๆเดินผ่านไปด้วยกล่าวถ้อยคำสดุดี ความหมายความงามการหยัดยืนอยู่ได้จากแรงใฝ่ฝันของตัวเอง


สีหน้าแววตาลุงบอกผมว่า ลุงมีความสุขกับพื้นที่แห่งนี้ และทุกอย่างที่ผ่านมา

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ