Skip to main content


 

ในห้องทำงาน โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้ไม่เหมือนวันก่อน หนังสือเล่มใหม่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเล่มมาวาง ชั้นหนังสือเรียงตามกัน โน้ตสั้นๆ เขียนถึงเวลานัดหมาย เวลาส่งงาน หมายเลขโทรศัพท์ ม้านั่งไม้ไว้นอนเอกเขนก โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะกลม กีตาร์ กล้องถ่ายรูป รูปภาพบนผนัง ...

\\/--break--\>
เห็นเด่นสะดุดตาที่สุด ไม่พ้นตุ๊กตามอมแมม

ผมเรียกชื่ออย่างนั้นจนติดปาก

วันเวลาผ่านทำให้มันยิ่งมีคุณค่า มันดูออกจะเป็นตุ๊กตาขี้เหร่ หัวบุบยุบลงมาให้ดูน่าขำ จำได้ว่าเราหัวเราะกันเสียงดังทันทีที่แกะแม่พิมพ์ออกมาแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด

หัวยุบ!!

 


ตอนแรกมันไม่ได้รับความสนใจ ถูกวางไว้ห่างไกลมือจนแทบลืม แต่แล้ววันหนึ่ง มันกลับโดนระบายสี ผมไม่ได้เห็นกับตา ว่าสีแต้มตัวมันตอนไหน ถึงมอมแมมได้เพียงนั้น กระทั่งเห็นวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ


เธอพูดสั้นๆว่า ให้พ่อนะ

 


ลมหนาวเดือนธันวาคม พัดกวาดความทรงจำให้แหว่งวิ่น แล้วปลิวห่างออกไปเรื่อยๆ ใครเคยพูดนะว่าเจ้าความทรงจำมีอายุสั้น ปัจจุบันสิ ยืนยาว


ผมนั่งมองความเปลี่ยนแปลงในห้องทำงาน ในวันเดือนธันวาคมมาถึงอีกปี บอกเธอได้อย่างไรว่า ห้องทำงานผมเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับ 8 ปีที่แล้ว


เห็นชัดๆก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเข้ามาแทนเครื่องพิมพ์ดีด นานๆจะได้ยินเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นสักครั้งหนึ่ง เสียงที่ปลุกให้เธอตื่นกลางดึกบ่อยๆ แล้วเธอมานั่งมองเงียบอยู่ข้างหลัง รอให้พ่อหันมามองด้วยตาค้าง ก่อนพ่อจะชวนเธอไปหลับต่อ


โต๊ะหนังสือไม้หนาหนักตัวนี้ เธอคงคาดไม่ถึงกระมัง พ่อไปหามาได้อย่างไร โต๊ะไม้กระดานอัดบางๆ ถูกทิ้งไปในช่วงย้ายเปลี่ยนบ้าน แต่สิ่งที่มีเหมือนเดิมคือกองแผ่นกระดาษเอกสาร กองหนังสือ กองอยู่ใกล้มือพ่อ

 


 

กีตาร์ตัวเดิม พ่อร้องเล่นให้เธอฟังทุกเช้าที่เธอลืมตาตื่น ยังอยู่ ยังส่งเสียง เธอคงนึกขำว่า กี่ปีๆ พ่อไม่เคยเปลี่ยน ยังร้องเพลงปลุกน้องชายให้ตื่นทุกเช้า

และเธอคงนึกไม่ถึงว่า เจ้าน้องชายของเธอกำลังซ้อมไวโอลินทุกค่ำคืน

 

 

ทุกอย่างรายล้อมดูเปลี่ยนแปลง

แต่สิ่งที่มีอยู่เสมอ คือภาพเขียนของเธอ ติ๊ดตี่ตุ๊กตาของเธอ เหรียญเงินของเธอ ขวดบรรจุของเล่นของเธอ ตุ๊กตามอมแมมของเธอ


เวลาย่อยความทรงจำแปดปีที่แล้วจนเป็นผุยผง
นางฟ้าเดือนธันวาคม มากมายเหลือเกินให้ผมรำลึกถึง

รับเธอไว้ด้วย เธอสวยงาม เธอสวยงาม
เป็นนางฟ้า ให้ร่าเริงในทุ่งดอกไม้ มีเสียงเพลง
เพลงกล่อมใจ
กล่อมใจ ให้สุขใจทุกวันคืน
นางฟ้า...”
 

ผมหยิบตุ๊กตามอมแมมมาวางบนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง มันถูกเก็บไว้ในที่ลับตา ชิ้นส่วนสะเทือนใจที่พ่อเห็นทุกครั้งแล้วดวงตารื้น


แต่หยิบออกมาตั้งวางบนโต๊ะคราวนี้ พ่อกลับเห็นมือน้อยๆตั้งใจเทปูนปาสเตอร์ลงไปผสมกับน้ำ แล้วเทลงในเบ้ายาง วางไว้ให้แห้ง แล้วแกะเอาหน้าตาภายในเบ้าออกมา

 

 


พ่อยังรื้อพบภาพถ่ายเก่าๆ ขวดแก้วใส่ของเล่น ตรายางดวงที่เธอชอบ กิ๊ปเหน็บผม นำมาวางให้หายคิดถึง


เดือนธันวาคม ลมหนาวพัดกลิ่นดอกราตรีกรุ่นเข้ามาในบ้านตอนกลางคืน พ่อเล่นเพลงนางฟ้าบ่อยๆ ร้องไห้คลายหนาวเดือนธันวาคม หนาวนางฟ้าเหลือเกิน

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ