Skip to main content

1

พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ  ปลาหน้าตารูปร่างประหลาดเหมือนแมงมุมหากินอยู่ใต้ท้องน้ำหมุนวนแรง    

ใครบางคนเปรียบเทียบโข่โละโกรเช่นซากศพคนตาย  ไม่มีใครปรารถนาให้มันฟื้นคืนชีพเพื่อบอกที่มาที่ไปของตัวเอง   ปล่อยให้ไหลไปอย่างคลุมเครืออย่างนั้น  มิหนำซ้ำกลับอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตประเภทกินซาก  ผ่านมาเก็บกินซากเน่าๆ  กินไม้  กินปืนสงคราม  กินข้าวสาร  กินเกลือ  กินน้ำตาล  เป็นอย่างนั้นมาหลายศตวรรษ  

ผมไม่รู้หรอกว่าแสงไฟหน้ารถ  จะไปหยุดลงที่ใด   ผมเห็นแต่ทางเป็นร่องดินน้ำขังเป็นทางยาว  แสงไฟสะท้อนน้ำเป็นเส้นแสงคู่ขนาน  อย่างกับรางรถไฟที่ปราศจากไม้หมอน  ปล่อยให้โบกี้ตกจากรางอย่างที่พะเลอโดะพูดจริงๆ  มันค้างเติ่งอยู่ริมน้ำ  นานวันเข้า  โบกี้ยาวเหยียดจึงงอกรากออกมาค้ำโบกี้ไม่ให้ตกน้ำ  พะเลอโดะบอกว่า  รากงอกยาวขึ้นลงตามระดับน้ำ  ชุมชนแห่งนี้จึงไม่มีวันตกลงน้ำได้ง่ายๆ

พอแสงไฟรถเบี่ยงลงต่ำ  พลันปรากฏลำน้ำเล็กๆสะท้อนกับแสงไฟ  มันดูราวกับไม่มีตลิ่ง  ไหลมาบนกรวดทรายและส่งเสียงดังมาก  หัวรถพุ่งไปเสียบไว้กลางดงสาปเสือ ดับเครื่องยนต์  ดับไฟรถทุกดวง   พะเลอโดะเดินฝ่าความมืดไปยังบ้านไม้หลังหนึ่ง  ซึ่งซ่อนลึกอยู่ในความมืด  พอเสียงรถเงียบลง  เราทั้งหมดก็กลายเป็นแมลงไม่รู้อิโหน่อิเหน่  เกาะนิ่งเหนียวหนึบอยู่ตามพื้นรถ  ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกแล้วนอกจากเสียงน้ำ

พะลอโดะกลับมาพร้อมร่างตะคุ่มๆ  ในมือถือไฟฉายส่อง   ผมเห็นร่างนั้นอย่างกับสัตว์เสียเปรียบในนิทานอีสป สัตว์เล็กเสียเปรียบทุกทาง  สงบปากสงบคำ  กล้าๆกลัวๆ  แม้มันจะเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรมเพียงใดก็ตาม  ไม่แคล้วโดนขู่ตะปบทำร้ายจากสัตว์ใหญ่จนถึงแก่ชีวิต   

สุดท้ายนิทานอีสปมักจะบอกเพียง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...  ผู้แข็งแรงย่อมมีชัยเหนือ

2

อธรรม ...  ผมเพ่งตามองร่างดำๆเตี้ยๆเคลื่อนไหวเงอะงะอย่างคนไม่สมประกอบ  ราวกับว่าถ้าไม่มีความมืด  เขาคงไม่กล้าออกมาปรากฏตัว   ในช่วงเวลานี้เอง  พื้นรถใต้หน่อมะพร้าวก็เคลื่อนไหวขึ้นครั้งแรก   พลันปรากฏสองร่างค่อยๆบิดตัวแทรกขึ้นมาท่ามกลางข้าวของอย่างเหนื่อยหน่าย

ผมไม่แปลกใจ  แต่ลุงเวยซายังเชื่อเต็มเปี่ยมว่าศาลเจ้าช่วยเอาไว้

คนละมือมือช่วยกันหยิบฉวยข้าวสาร   เกลือ  หน่อกล้วย  มะพร้าวแตกหน่อ  และพันธุ์ไม้อื่น  เดินตามกันไปในความมืด   ผมไม่รู้อะไรเป็นอะไรอีกแล้ว  นอกจากเดินตามแสงไฟฉาย  ในหูผมได้ยินแต่เสียงพูดคุยเป็นภาษาอื่น  ฟังดูเหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย   พะเลอโดะพูดได้กลมกลืน   เหมือนว่าดินแดนลับๆขยายหดสั้นยาวได้  ตราบเท่าที่ภาษาประหลาดนั้นยังอยู่

ตะเกียงน้ำมันก๊าดลุกแดงขึ้น  ผมเห็นใบหน้าชายเตี้ยม่อต้อเจ้าของบ้านเป็นครั้งแรก  เขามองมาด้วยสายตาขลาดๆ  ไม่สบตานาน  มองพวกเราผ่านๆ  

พะเลอโดะกวาดตามองผ่านความมืด  เหมือนมีสิ่งเคลื่อนไหว  มองจ้องเหล่าผู้มาใหม่

เราวางสิ่งของลงบนพื้นกระดาน   เมล็ดพันธุ์เดินทางไปถึงปลายทาง    

แต่จะนำไปปลูกที่ไหนนั่นหรือ   ผมยังนึกไม่ออก  ตลอดการเดินทางมา  ผมเห็นแต่ความมืด  ผมรู้มาเพียงว่าภูเขาต่อภูเขาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด   ยังมีที่ราบอยู่อีกหรือ

พอนึกถึงริมฝั่งแม่น้ำ  เหมือนมีบางอย่างกระเพื่อมไปตามเนื้อตัว  ต้องตื่นเช้าๆแล้วเดินไปหา  เก็บรูปให้หนำใจ  คิดได้แค่นั้นฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่  ตกต่อเนื่องจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ  ผมทิ้งตัวลงนอนฟังเสียงฝน  มองไฟตะเกียงที่มีคนนั่งรุมล้อม  สองคนในนั้นเป็นพะเลอโดะกับลุงเวยซา   กะฌอกับซอมีญอหายตัวไป

ฝนตกถึงเช้า  ทุกอย่างรอบตัวซึมเซาอยู่ในม่านสีเทา  เสียงน้ำในลำห้วยไหลแรง  แต่รถบรรทุกยังแล่นข้ามผ่านมาได้  ผมนั่งมองรถบรรทุกหกล้อหุ้มตาข่ายแล่นมาช้าๆ  พอข้ามฝั่งมาได้ก็ดับเครื่อง  มีคนสองคนออกมาจากรถ  ก้มๆมองๆไปใต้ท้องรถ  ปีนดูในคอกไม้บรรทุก

“เขามาทำอะไร”  ผมพูดเปรยๆ
“วัว” ..
เสียงชายเตี้ยม่อต้อที่มองดูอยู่ด้วยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ตื่นเต้น  ผมถามอีกว่าวัวจากไหน  จะไปไหน  คราวนี้พะเลอโดะช่วยตอบแทน
“พม่า  พ่อค้าวัวมารอซื้อวัวควายกันที่นี่  วัวบางส่วนมาไกลจากอินเดีย  บังคลาเทศ   ขายต่อกันมาเป็นทอดๆ  ไปโรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้น”

ราวกับว่ารถไฟกำลังจะมา  นายสถานียกธงให้รถไฟหยุดโบกี้ยาวเหยียดไปตามฝั่งแม่น้ำ  อันที่จริงทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดี  แต่นายสถานีในชุดพลางนั่นสิ  เรียกลุงเวยซาให้หยุด  ลุงเวยซาพูดเสียงดัง  ผมได้ยินแต่เสียงโข่โละโกรๆ  พะเลอโดะต้องรีบเดินเข้าไปหา  พร้อมกับบอกยืนยันว่า  มาด้วยกัน  ผู้เฒ่ามาจากแม่น้ำเงา  อยากมาดูน้ำโข่โละโกรสักครั้ง  สายๆก็กลับไปแล้ว

“ทำไมเขาทำอย่างนั้น”  ผมนึกสงสัย
“อยากแสดงอำนาจมั้ง  งานพวกเขาก็อยู่กันอย่างนี้  คอยดูคนเข้าคนออก”  พะเลอโดะพูดตรงๆ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ปกติ  

ผ่านสถานีมาได้ก็เข้าสู่ร้านค้าเรียงรายอยู่ในโบกี้  เปิดประตูโบกี้ออกกว้างขวาง  สารพัดสารเพวางขาย  ของคาวหวาน  เสื้อผ้า  น้ำมันพืช  รองเท้า  พริก  เกลือ  เชือก  ของเล่นเด็ก ฯลฯ พูดง่ายๆก็คือร้านค้าหัวเมืองมีอะไรบ้าง  ในโบกี้ก็มีไม่ต่างกัน

ราวกับว่าหัวรถจักรเสียมาหลายสิบปี   จอดแน่นิ่งตากแดดตากฝน  มันกำลังเดินไปสู่ของเก่า   ไม่นานก็กลายเป็นซากอีกชิ้นหนึ่ง  รอช่างซ่อมที่ไม่อาจคาดเดาว่าจะผ่านมาเมื่อไหร่   

ลุงเวยซาเดินล่วงหน้าไปก่อน  เราเดินตามไปห่างๆ  เหมือนพะเลอโดะจะรู้ว่ากะฌอกับซอมีญออยู่ที่ไหน  พะเลอโดะบอกผมแต่เพียงว่า  เดี๋ยวคงตามมา

หากจะมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านมายามนี้  ผมนึกถึงเสียงร้องบ่นฮึมฮัมด้วยเสียงโทนต่ำ  ดังสลับกับก้าวย่างไปบนพื้นดินแฉะ  ข้างในผมเพริดออกหน้าออกตา  ยามเห็นโข่โละโกรเต็มฝั่ง  อย่างที่พะเลอโดะพูดไว้จริงๆ  โข่โละโกรเต็มฝั่งเดือนกันยายน

หินก้อนใหญ่ริมน้ำ  เหมือนถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง   ลุงเวยยืนนิ่งด้วยอัศจรรย์ใจอยู่ตรงนั้น  ยืนมองแม่น้ำใหญ่ยักษ์ไหลเย็นไหลนิ่ง  

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ