Skip to main content

 

เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย

ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …


หากจะมีสโลแกนฝากจากเหล่าฝูงปลาดุก ... เวลาว่างคืองานของเรา ความสามารถพิเศษของเราคือสามารถทำให้เกิดความว่างจนคนเจ็บใจเล่นได้

ว่างเพื่อจะสำ()นวนกันบ้าง “ไม่ใช่นั่งโม้ฟรีๆ แต่โม้เสียเบี้ยกัน()นั่น เรามากับรถ ไม่ได้เดินมางั้น”

สำ()นวนคำนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า โม้กัน

เรื่องที่เล่าสู่กันฟังก็ไม่พ้นเรื่องที่ผ่านทางมา เหล่าฝูงปลาดุกแถกเหงือกมีเรื่องเล่าทำเรื่องให้ชวนหัวได้ไม่เลือกเวลาเช้า เที่ยง บ่าย เย็น กลางคืนหรือก่อนนอน

ช่างสรรหาเรื่องมาเล่าให้เฮฮา แบบว่างๆก็จริง แต่มีเรื่องให้ฮาตลอด

 


นิยุติเล่าเรื่องทำนองนี้ได้หน้าตาย หน้าตายหมายถึงหน้านิ่ง ลึก ชวนลุ้น ยากคาดเดาว่าประโยคหน้าคืออะไร

ผมนั่งฟังเขาเล่าอย่างหูห้อย

เหล่าฝูงปลาดุกแถกเหงือกไปตามขอบฝั่งทะเลสาบสงขลา ไล่เล่นไปตามหมู่บ้านริมเล (ทะ)เลที่มีสมบัติเป็นโคลนเปื่อยขยายกว้างออกไกลจากฝั่งทุกวันนั่น ระหว่างทางไป รถจอดลงข้างถนนทางหลวง สามคนในฝูงปลาดุกลงไปซื้อยาสูบร้านขายของชำ


แน่นอนว่า พวกเขาช่ำชองยาเส้น ยาสูบจริงแท้แน่นอนต้องเป็นยาเส้นเป็นกลุ่มๆก้อนๆเท่านั้น ไม่ใช่ยาสูบเป็นแท่งๆเหมือนดินสอ

คนในร้านถามแหละ” นิยุติเล่าหน้าตาเฉยเรียบ

(สา)ว่าจะซื้อสายฝนเป็นซองไหรอย่างนั้น” มีเสียงสอดแทรกขึ้นมา

นั่นแหละ น่าว่าพรรค์นั้น แต่ไม่ใช่ ลุงแลหน้าตาท่าทาง น่าว่าสงสัย พวกนี้ไปไหนไปทำไหร แต่ละคนแลแล้ว น้ำก็ไม่ได้อาบกันมาวันสองวัน”

เงียบนิ่งฟัง

โหมสูมาแต่หาปลาเหอ” …

เสียงเฮฮาดังลั่นวง นิยุติก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาครัน ก่อนจะขยายต่ออีกรอบ “แกคงนึก แลอยู่นานแล้ว สูบยาก็ซื้อยาเส้น หาใบจาก อย่างนี้ต้องพวกหาปลาแน่ๆ มันจะไปเล่นดนตรีได้พรื่อ แกก็ถามเอาแหละ ไปหาปลามาเหอ”


เสียงฮาดังเป็นรอบที่สอง

คนนั่งฟังล้อมวงก็รู้อยู่ว่า น้ามาดจับทับจับกลองแจมเบ้ทีไร แลเท่ห์คุมจังหวะรุกรับล้ำพื้นที่ในหัวใจคนฟังให้กระจุยกระจายเพียงใด

ฝ่ามือพรมลงหนังกลองเมื่อไหร่ เหมือนคลึงแป้งทำ(ขนม)หนมโค(แป้งนวดใส่ไส้น้ำตาลแว่น) คลึงจนกลมแล้วปล่อยลงใน(กระ)ด้ง


เป็นอารมณ์นั้นจริงๆ จังหวะบี้บดจับวางได้ราบเรียบ สม่ำเสมอ น่าฟัง ที่สำคัญฝังใจลงบนหนังกลอง ทำให้คนได้ยินปล่อยใจรั่วไปตามๆกัน เพื่อว่าน้ามาดจะได้ตามเย็บหัวใจรั่วๆเหล่านั้น ให้กลับคืนสมานดังเดิมได้

ผู้ฟังก็ยินยอมให้น้ามาดตามเย็บรอยหัวใจรั่วกันทั่วหน้า ไม่อิดออดทำทีว่าต้องกลับไปซ่อมใจตัวเองอยู่คนเดียว

ความสามารถของน้ามาด สามารถสมชื่อ เรียบเรียงจัดวางเครื่องไม้เครื่องมือดนตรีร็องแง็งเร็กเก้ได้จังหวะรุกรับ ออกหน้าออกตาเฉิบๆ เร้าใจ ตื่นเต้นและน่าติดตาม


เวลาของการคิดหาตำแหน่งจัดวางเสียงกลองทับ จริงจังทุ่มเท คอยประสานเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆให้เกาะกลุ่มเหนียวน่าเคี้ยวเหมือนตัง()เมได้อย่างไร

(เคี้ยวตัง()เม ถ้าเป็นฟันยังไม่ทิ้งน้ำนม รายไหนรายนั้น น้ำลายไหลยืดลงข้างแก้ม ไหลหยดเยิ้มผ่านพุงสะดือเลยทีเดียว)

ไม่เกินจริง หากจะฟังเสียงจับหนังกลองของน้ามาดแล้วเคลิบเคลิ้มเหมือนอารมณ์เคี้ยวตัง()เม


ใครพบหน้าน้ามาดครั้งแรก จะไม่รู้สึกประทับใจ ดวงตาแกจริงใจเกินวัยก็จริง แต่ท่าทีเรียบนิ่งไม่ร้าวใจ พอดูตาร่วมกับหน้า ช่างลงตัวในความจืดสนิท เดินเหินไปไหน ก็ลอยนวลเหมือนนุ่นลอยลม

แต่อย่ามองยามน้ามาดปล่อยฝ่ามือจับหนังกลองเชียวหนา

หัวใจผู้ฟังรั่วไปตามๆกัน

 


ถ้าเป็นน้ามาดที่ลงไปซื้อใบจากกับยาเส้น แล้วโดนคำถามของคนขายต้อนให้ตอบด้วยหน้าซื่อๆ น้ามาดต้องยิ้มนำแล้วตามด้วยหัวเราะน้อยๆ รีบคว้าใบจากยาเส้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิร์ต(ตัวโปรดต้องลายหมากรุก)

ไปแล้วลุง (แขบ)รีบไปหาปลาต่อ ปลาหายาก เลสาปเปื่อยเป็นโคลนหมดแล้ว”

น้ามาดจะไม่บอกความจริงแน่ว่า กำลังจะออกเดินทางไปเล่นดนตรี และจะไม่แก้ตัวว่าไม่ได้กลับจากหาปลา น้ามาดรักษาฟอร์มระเบียบแบบแผนคนกลับจากหาปลาได้อย่างดียิ่ง ฟอร์มนี้ไม่อนุญาตให้ใครแสร้งคิดยึดเอาเป็นแบบอย่าง กลัวเสียฟอร์ม...


เด็กหนุ่มของหมู่บ้าน เรียนจบแล้วก็กลับไปอยู่บ้าน เกาะใหญ่นั้นใหญ่สมชื่ออยู่ใน(ทะ)เลสาปสงขลา เขาเรียนมาทางศิลปะ แต่วิชาศิลปะก็ใช่ว่าจะจัดแสดงที่ไหนได้ง่ายๆ

มันต้องค้นหาตัวตน แสวงหาว่าเราชอบอะไร ต้องค้นหาความเป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อน” นิยุติพูดเลียนเสียงเด็กหนุ่มคนนั้น


ในวงฟังอย่างสนใจ เหมือนจะรู้เรื่องนี้กันครึ่งค่อนวง แต่เก็บอำพะนำไว้ข้างใน รอลุ้นกับเรื่องที่เล่า

ใต้สวรรค์ไปเล่นพอดี บอกว่า คืนนี้แสดงศิลปะเลย แสดงอาร์ตได้เต็มที่”

เสียงเงียบกันชั่วขณะ

ให้ตนไปเอาโคลนเลนั่นแหละ ทาตัวเลย ถอดเสื้อให้หมด ทาโคลนอย่างเดียวเตรียมรีวิวประกอบเพลง”

เสียงหัวเราะเริ่มดังปละปลาย

เห็นด้วยทันที กะว่าพอดนตรีขึ้น เขาจะเอาตัวคลุกโคลนทันที เตรียมแสดงศิลปะ”


เสียงหัวเราะดังลุ้นฟังต่อ คนเล่าก็เงียบเสียงไปนาน ยั่วอารมณ์คนฟัง

ปรากฏว่าผิดคิว เขาไปคลุกตัวมายืนอยู่ก่อนที่ใต้สวรรค์จะขึ้นเล่น”

วงฟังลุ้นระทึก

ทีนี้ก็คันแหละ ไม่รู้เขาไปเอาโคลนเลมาจากตรงไหน เป็นใบไม้เปื่อยๆ มันคันตามตัวแหละ จะวิ่งไปล้างตัวก็เสียดาย นานๆได้แสดงศิลปะต่อหน้าผู้ชมมากๆ”

เสียงหัวเราะดังนานมาก

สุดท้ายต้องล้างออก ทนไม่ไหว ... มันคัน”


เป็นอันว่าความฝันที่จะหาทางเป็นตัวของตัวเองของเด็กหนุ่มจบศิลปะในหมู่บ้านคนหนึ่ง มีอันล้มลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะโคลนเลเปื่อยแท้ๆ

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ