ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้ ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก อีกทั้งกล่องกระดาษ กระเป๋าใส่ของฝาก พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่ กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ
ที่นี่ที่ไหน ไปไหน ไปอย่างไร ไปไกลมั้ย .. เหล่าคำถามนั้น เจ้าลูกชายถามเป็นข้าวตอก ต่อเมื่อผมชี้ให้ดูรถโดยสารธรรมดาที่จอดนิ่งสงบดำมืดอยู่บนราง อย่างกับสัตว์โบราณกบดานเงียบ ดูไม่มีพิษภัย รอเวลาตื่นขึ้นรับแดดเช้าเพียงเท่านั้น
หรือจะบอกว่า มันเป็นรถจักรหัวเก่าแก่ชราภาพเต็มที ราวกับมันจะจมอยู่ในความเงียบมานานนับศตวรรษ จอดนิ่งกับที่ ไม่ส่งเสียงใดๆ
รอจนกว่ารถด่วนอีกขบวน รถเร็วอีกขบวนจากกรุงเทพ แซงหน้าผ่านไป มันจึงจะตื่นด้วยสำนึกคำรามเป็นครั้งแรก สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาบริเวณ
นั่นเอง รถไฟโดยสารชั้นธรรมดา ต้นทางพัทลุง มุ่งสู่ปลายทางสุไหงโกลก
ชาวบ้านรู้จักในชื่อ รถโกลก
ช่องขายตั๋วเริ่มเปิดบริการ คนเดินออต่อคิวยาวซื้อตั๋ว ดูหน้าตาคนซื้อส่วนใหญ่ขรึมเงียบ เป็นชาวบ้านชาวสวนมากกว่าจะเป็นคนประกอบอาชีพอื่นใด ต่อเมื่อใครคนหนึ่งคนใดจะเจอเพื่อน เจอญาติ เจอคนรู้จักจึงจะได้ยินเสียงพูดกันดัง พูดเรื่องอะไรก็ตาม เผื่อแผ่หูคนรอบข้างได้อย่างทั่วถึง ใครเจ็บใครตายใครแต่งงานที่ไหน ลูกหลานใคร เราจะได้ยินกันชัดเจน
ถึงแล้วครับ บ้านเกิดผมเอง ผมถึงเข้าใจและคุ้นเคยอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ เสียงดูไม่มีพิษภัยกับใคร กระทบกระเทียบใครก็เปิดออกมาให้รู้ในที่แจ้ง
ขณะผมนั่งจดจ่อมองคนขายตั๋ว ที่กำลังสั่นหน้าใส่หญิงชราคนหนึ่ง แกเข้ามาถามเป็นครั้งที่สอง ว่าเป็นตั๋วรถโดยสารธรรมดาหรือเปล่า แต่คนขายตอบกลับไปครั้งหนึ่งแล้วว่า ขายตั๋วรถเร็วก่อน
“รถป้าจะขายเมื่อไร” เสียงยายพูดเน้นย้ำคำ
“ต้องท้าก่อน” (คอยก่อน) เสียงตอบมาไม่ยิ้ม
“ขายไม่ขายก็บอกแหละ” ..
เสียงยายบ่นพึมพัมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ คนอื่นๆยืนรุมมองส่งสายตาเห็นใจ อย่างกับยืนดูละครฉากผ่านไปตอนอื่นๆ
พอถึงคิวยายจริงๆ ยายล้วงเอาเหรียญจากกระเป๋านานมาก นานจนคนต่อท้ายเริ่มร้อนรน คนขายตั๋วก็สั่นหัวไปมา
คอยเหรียญออกมาจากกระเป๋ายาย ..
“ลงไหนยาย” เสียงหนึ่งถาม
“ควนเคี่ยมลูกเหอ” เสียงยายตอบแล้วเดินจากไป
เสียงขายตั๋วทำให้ผมนึกถึงการตีตั๋วในอดีต เสียงตึงๆ เป็นเสียงกระแทกของแข็ง ตัดตั๋วกระดาษหนาๆสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเท่ากำมือรอบ กลับกลายเป็นเสียงวิ่งของเครื่องกลอิเลคโทรนิกส์ แล้วแผ่นกระดาษยาวๆก็ลอดออกมาจากเครื่อง
ผมได้ตั๋วในราคา 8 บาท เด็ก 4 บาท ราคาถูกน่าตกใจ รถไฟบริการประชาชนน่าจะจริงเป็นแน่แท้ หากมันจะถูกกว่านี้ ก็คงต้องแถมน่องไก่ทอดฟรีอะไรทำนองนั้น
ผมบอกลูกชายว่า เราต้องนั่งรถขบวนนี้ไปอีกราวเกือบชั่วโมง “ก็จะถึงบ้านเกิดพ่อแล้ว”
“ทำไมไม่ไปรถที่เรามาล่ะ” ลูกชายช่างถาม
“มันไม่จอดป้ายสถานี”
“เพราะอะไรเหรอ”
“ป้ายมีไว้ให้รถไฟธรรมดาจอด”
“อ๋อ” ..
ผมนั่งมองเขาอกทะลุผ่านอากาศมัวซัวตอนเช้า ขณะรอรถไฟออกจากสถานี สัญลักษณ์ของจังหวัดตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใกล้ๆ ยอดเขาหินปูนที่ยืนสู้แดดลมฝนมานานอย่างไม่อาจย้อนเวลาก่อเกิดอันแน่นอน
ตำนานเรื่องเล่าแทนยอดเขาอกทะลุมีชีวิต อกทะลุอันมาจากสากทิ่มตำ กลายเป็นยอดอกทะลุมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคงไม่ได้แวะหยิบเอาเกล็ดเรื่องที่มา เล่าไว้ตรงนี้ แต่ลูกหลานพัทลุงล้วนได้ชิมลางเรื่องเล่าความหมายสัญลักษณ์เขาอกทะลุ
และผ่านมาชะเง้อมองนับครั้งไม่ถ้วน
ผมผ่านมาแค่ชะเง้อมองตั้งแต่จำความได้ ยืนอยู่มุมไหนของเมือง มักจะเห็นยอดเขาอกทะลุ ยืนอยู่บนถนนโคลีเซียมตามเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ก็ยังมองเห็นยอดอกทะลุได้ชัดเจน หนังสือรวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ที่ผมพกมาด้วย คงได้อ่านนึกย้อนถนนโคลีเซียม
พอรถออกจากสถานี เสียงโครมครามๆ ผ่านหน้าเขาอกทะลุ ลมเช้าตีเข้ามาทางหน้าต่าง ตึงตังๆ โครมๆ ฉั่กๆๆ ครือๆๆ นั่งนับสถานีที่เหลืออยู่