Skip to main content

ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  

ไปเป็นไม้หมอนรถไฟ
ร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดิน
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควาย
ผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา  พลั้งพลาดรีบเดินไปในอาณาบริเวณโคลนดูด  

20080603 c1

เด็กๆอยู่บนคอผู้ใหญ่เท่านั้น
ดินโคลนไม่ต่างไปจากขี้วัวขี้ควายเละๆ  เหนียวเละ ได้กลิ่นใบไม้เน่า  น้ำนิ่งเหมือนปลักควาย  นั่นแหละเป็นที่อยู่ของเจ้าผ้าร้ายควายชั้นเยี่ยม
มันแอบซุ่มอยู่เงียบเชียบ   รอจังหวะจู่โจมเหยื่อ  

ผมเห็นยามมันเกาะอยู่บนหนังควาย  อ้วนท้วนเหมือนเหนียงไก่  หรือลูกโป่งใส่น้ำจนบวมเป่งจวนจะแตกเต็มที  ผู้ใหญ่เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาก็ใช้พร้าเฉือนมันออกมา  ยังไม่พอเท่านั้น   ใช้ไม้สอดไปใต้ตัวที่เต็มอิ่ม  พอถึงที่แห้งก็ใช้ไม้เสียบเข้าทางหัวหางก็ไม่รู้  
ปลิ้นข้างในออกมาข้างนอก  เลือดแดงๆทะลักเต็มพื้นดิน

ฉากปลิ้นผ้าร้ายควาย  ไม่ต่างจากปลิ้นผ้าร้ายควายของควายจริงๆ  ปลิ้นเอาขี้เอาไป  เหลือผ้าร้าย  แล้วเอาไปล้างน้ำ

พ่อปล่อยผมไว้บนขอนไม้ดำเป็นตอตะโก   เหมือนติดเกาะอยู่กลางน้ำ  นั่นเอง  ที่ผมเห็นเจ้าผ้าร้ายควายเต็มตา  มันมากันยุบยั่บ  น้ำกระเพื่อม  ผิวน้ำเป็นริ้วดำๆ  มาออกันอยู่ข้างขอนไม้  เกาะนิ่งอยู่ข้างขอนไม้  หรือไม่ก็มุดตัวอยู่ใต้กอหญ้าแห้ง

มันคงได้กลิ่นเด็ก
มันเป็นภาพสยองติดตัวผมมาจนโต   แต่ก็ไม่เคยเลี่ยงหลบมันได้  ผมรู้สึกว่ามันแฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง  ในทุ่งนา  หนองน้ำ  ล้ำห้วย  ลำคลอง  พรุ  ปลักควาย  ผมรู้สึกขนลุกขนพองทุกครั้ง  ว่ามันเป็นผีดูดเลือดนี่เอง   ลงน้ำที่ไหนก็ระแวงมันไว้ก่อน

20080603 c2

ผ้าร้ายควายตัวโตที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น  ขนาดสองฝ่ามือยาวเป็นฟุต   แต่นั่นแหละ  ผมไม่เคยเห็นมันดูดเลือดคนสำเร็จ  ผมเห็นแต่วัวควายตกเป็นเหยื่อของมัน  รอยปากที่มันฝากไว้บนหนังวัวควาย   เป็นเลือดแดงอาบหนังเป็นทางยาว  

ผมนึกไม่ออกว่า  หากมันเผลดูดเลือดคน  มันจะใช้เวลานานแค่ไหน
มาถึงตรงนี้  ผู้อ่านคงนึกออกแล้วกระมังครับ  ว่าเจ้าผ้าร้ายควายที่ผมนำมาเป็นชื่อเรื่อง  มันคืออะไร   
ผ้าร้ายในภาษาถิ่นใต้บ้านเกิด  หมายถึงผ้าที่ใช้เช็ดตีน(เท้า)  มักเป็นผ้าที่ใส่กันจนขาดแบบฝืนใส่ไม่ไหวอีกแล้ว  มันจะกลายสภาพเป็นผ้าร้าย  ผ้าเช็ดตีนอยู่ตรงประตู  หน้าบันได  ทางเข้าครัว  ทางไปห้องน้ำ  

หน้าที่ของผ้าร้ายคือทำตัวเองให้มีสีขุ่นเก่าเปื้อนดินคล้ำยิ่งขึ้นตามวันคืน
กระทั่งหาสีเก่าไม่พบ  หรือกลายเป็นดิน   นั่นแหละ  มันจึงจะถูกอัปเปหิออกไปจากใต้ชายคาบ้านตลอดกาล

ผ้าร้ายควาย  ช่างสอดคล้องเหลือเกินกับผ้าร้าย  ทรงของมันเหมือนสีผ้าเช็ดตีนจริงๆ  โดยเฉพาะเวลาลอยตัวกระดืบพริ้วไปบนผิวน้ำขุ่นๆ  เหมือนผ้าร้ายลอยมากับน้ำจริงๆ  
ปลิง ปลิงครับ..
แต่เป็นปลิงพันธุ์มโหฬาร  ว่ากันว่าเมื่อก่อน(คนเฒ่าเล่ากันมา)มันใหญ่โตเท่ากระเพาะควายจริงๆ   สีเหมือนหนังควาย   ดูสิ  มันชวนสยองขนหัวพองสักแค่ไหน

หากคนข่าวล่วงรู้ความหมายแล้ว  เกิดนึกสนุกจะนำไปตุนไว้ในแฟ้มตั้งฉายารัฐมนตรีหรือรัฐบาล  ประมาณว่ารัฐมนตรี/รัฐบาลผ้าร้ายควาย  ก็ไม่มีใครหวงลิขสิทธิ์  สามารถใช้ได้ตามสบายเลยครับ  เพราะคุณสมบัติของเจ้าผ้าร้ายควายนั้น  ทั้งดูด(ปากของมันเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด)  ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว  น่าขนหัวลุก  ที่สำคัญลอยตัวขุ่นๆอยู่บนผิวน้ำขุ่นๆ  

ดูอย่างไรก็ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเอาเสียเลย  

เพียงแต่วิธีของชาวนาชาวบ้าน  ที่แก้เผ็ดใส่มันก็คือปลิ้นในออกนอก  ปลิ้นนอกไปไว้ข้างใน   แม้ดูโหด  แต่ก็เป็นธรรมเนียมปฎิบัติทำต่อกันมา   ประมาณว่าจับได้เมื่อไหร่เถอะ  มันต้องไม่ได้ผุดได้เกิดใหม่  ลองสับเป็นท่อนๆทิ้งน้ำสิ  มันจะกลายเป็นตัวใหม่เท่าจำนวนที่ตัดแยกออกไป

โอย(โตย) .. รัฐบาลชุดผ้าร้ายควาย  ฟังดูแล้วไม่จืด

+++++++++++++

ปล.(1)  ผ้าร้ายควายอีกความหมาย  คือกระเพาะควาย  ผ้าร้ายหมายถึงกระเพาะ
ปล.(2)  ผมไม่ได้ตั้งใจจะยกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโคลน  มากล่าวถึงให้รู้สึกน่ากลัว  เพียงแต่ผมเชื่อว่ามันยังมีอยู่   กลับบ้านคราวนี้  ใครๆต่างก็ตอบกลับมาว่า  ผ้าร้ายควายสูญหายไปนานแล้ว  ไม่มีใครพบเห็นตามทุ่งนาอีกเลย   ในพรุก็ไม่มีใครลงเอาตัวไปให้งูเหลือมรัด  
พรุกลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวงูเหลือม
          

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ห้องครัวซ้อมดนตรี ถึงเพลงบันนังสตา บ้านเช่าบ้านไม้เป็นบ้านชาวนาในหมู่บ้านแม่เหียะ ชานเมืองเชียงใหม่   ห้องครัวคือห้องทำงาน  ห้องนอนบางเวลา  ห้องซ้อมดนตรี   ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก 
ชนกลุ่มน้อย
ประชาชน  สัตว์เลี้ยงของแวมไพร์
ชนกลุ่มน้อย
สองทุ่ม   อังคารที่ 16 มีนาคม  2553   นักดนตรีในเชียงใหม่  และคนในแวดวงหนังสือ ศิลปะ  นัดรวมตัวกันที่ร้านสุดสะแนน  ร่วมรำลึกถึงการจากไปของ ”จ่าเพียร”(พ.ต.อ สมเพียร เอกสมญา) วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด  ด้วยสายสัมพันธ์กับไวล์ดซี๊ด (ชุมพล  เอกสมญา) ลูกชายจ่าเพียรที่ผ่านมาเล่นดนตรีในเชียงใหม่อยู่เสมอๆ   เยียวยาจิตใจเมล็ดเถื่อนจากบันนังสตา  ร่วมรำลึก ...   
ชนกลุ่มน้อย
ขอต่อยาวสาวความยืดถึงน้ามาดบางมุมดูหน้าดุ เวลาเดินเหมือนนุ่นลอยอีกหน่อย อย่างที่บอกไว้ บุรุษไร้นาม(และหนาม)ตามใจคนนี้ อย่าให้นั่งหน้าทับหน้าหนังกลองแล้วกัน ความจืดของหน้าจะถูกขับออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไม่เรียบเฉยปล่อยวางอีกแล้ว บางด้านดูดุเทียบได้ใบหน้าเสือจ้องขบ กลับเกลี่ยเสียใหม่ เป็นเสียงทะลวงไส้พุงเร้าใจผิดหน้าผิดหูผิดตาไปทันที
ชนกลุ่มน้อย
  “เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย “ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …
ชนกลุ่มน้อย
  สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...
ชนกลุ่มน้อย
นักดนตรีกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยความรัญจวนจากฤดูความว่างของชีวิต ออกไปเล่นดนตรีบรรเลงชีวิตร่วมกัน หรือจะพูดอีกที การมาถึงของพวกเขาใต้สวรรค์ ไม่ต่างจากฝูงปลาดุกหนีน้ำแถกเหงือกมาหากันในช่วงหน้าแล้ง หนวดยั้วคลุกนัวกันมาบนโคลนเปียกๆ เหนียวเหนอะไปยังถิ่นที่คาดว่าจะมีน้ำ สีผิวฝูงปลาดุกเลื่อมมันน่าเกรงขาม
ชนกลุ่มน้อย
คำ  สุวิชานนท์ รัตนภิมล และคำของอา' รงค์ ทำนอง  สุวิชานนท์  รัตนภิมล
ชนกลุ่มน้อย
ลมบาดหิน ของอา… “ผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขาตัดสินใจแรมคืนในกระโจม(เต็นท์) เขาพบว่าการเสียบก้านปลั๊กตัวผู้ลงในรูปลั๊กตัวเมียเพื่อต้มน้ำกับกาไฟฟ้านั้นเป็นความสะดวกสบายของคนในทาวน์เฮาส์ที่กรุงเทพฯ และอย่างน่าอิจฉา แต่การมองหาก้อนหินนำมาวางเป็นก้อนเส้า กิ่งไม้ง่ามปักกับดินแล้วพาดราวแขวนหม้อและริ้วชิ้นวัวฝานหมักเกลือ ก่อกองไฟและต้มกาแฟ นี้เป็นบางแบบของชีวิตซึ่งผู้ชายควรเรียนรู้...”
ชนกลุ่มน้อย
พอออกมาจากห้องฝึกเรียนไวโอลินกลางเมืองเชียงใหม่  ผมบอกเจ้า 9 ขวบว่าไปเยี่ยมคุณลุงหน่อยนะ   เจ้าเก้าขวบถามทันทีที่ไหน  ผมตอบกลับวัดเจดีย์หลวง  ไปทำอะไรเหรอ เขาสงสัย  อยากไปเยี่ยม พ่อไม่ได้เข้าไปนานแล้ว
ชนกลุ่มน้อย
  ในห้องทำงาน โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้ไม่เหมือนวันก่อน หนังสือเล่มใหม่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเล่มมาวาง ชั้นหนังสือเรียงตามกัน โน้ตสั้นๆ เขียนถึงเวลานัดหมาย เวลาส่งงาน หมายเลขโทรศัพท์ ม้านั่งไม้ไว้นอนเอกเขนก โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะกลม กีตาร์ กล้องถ่ายรูป รูปภาพบนผนัง ...
ชนกลุ่มน้อย
  ในชีวิต ณ ปัจจุบัน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาข้องเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชื่อ ไวโอลิน และยิ่งไม่เคยนึกว่าวันหนึ่ง จะมีไวโอลินมานอนอยู่ในห้อง ตั้งวางอยู่ข้างตัว รวมถึงได้ยินมันส่งเสียงทุกวันตอนย่ำค่ำ