ตากอากาศบ้านเกิด (9) ผ้าร้ายควาย ถึงนายกรัฐมนตรี

ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  

ไปเป็นไม้หมอนรถไฟ
ร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดิน
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควาย
ผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา  พลั้งพลาดรีบเดินไปในอาณาบริเวณโคลนดูด  

20080603 c1

เด็กๆอยู่บนคอผู้ใหญ่เท่านั้น
ดินโคลนไม่ต่างไปจากขี้วัวขี้ควายเละๆ  เหนียวเละ ได้กลิ่นใบไม้เน่า  น้ำนิ่งเหมือนปลักควาย  นั่นแหละเป็นที่อยู่ของเจ้าผ้าร้ายควายชั้นเยี่ยม
มันแอบซุ่มอยู่เงียบเชียบ   รอจังหวะจู่โจมเหยื่อ  

ผมเห็นยามมันเกาะอยู่บนหนังควาย  อ้วนท้วนเหมือนเหนียงไก่  หรือลูกโป่งใส่น้ำจนบวมเป่งจวนจะแตกเต็มที  ผู้ใหญ่เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาก็ใช้พร้าเฉือนมันออกมา  ยังไม่พอเท่านั้น   ใช้ไม้สอดไปใต้ตัวที่เต็มอิ่ม  พอถึงที่แห้งก็ใช้ไม้เสียบเข้าทางหัวหางก็ไม่รู้  
ปลิ้นข้างในออกมาข้างนอก  เลือดแดงๆทะลักเต็มพื้นดิน

ฉากปลิ้นผ้าร้ายควาย  ไม่ต่างจากปลิ้นผ้าร้ายควายของควายจริงๆ  ปลิ้นเอาขี้เอาไป  เหลือผ้าร้าย  แล้วเอาไปล้างน้ำ

พ่อปล่อยผมไว้บนขอนไม้ดำเป็นตอตะโก   เหมือนติดเกาะอยู่กลางน้ำ  นั่นเอง  ที่ผมเห็นเจ้าผ้าร้ายควายเต็มตา  มันมากันยุบยั่บ  น้ำกระเพื่อม  ผิวน้ำเป็นริ้วดำๆ  มาออกันอยู่ข้างขอนไม้  เกาะนิ่งอยู่ข้างขอนไม้  หรือไม่ก็มุดตัวอยู่ใต้กอหญ้าแห้ง

มันคงได้กลิ่นเด็ก
มันเป็นภาพสยองติดตัวผมมาจนโต   แต่ก็ไม่เคยเลี่ยงหลบมันได้  ผมรู้สึกว่ามันแฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง  ในทุ่งนา  หนองน้ำ  ล้ำห้วย  ลำคลอง  พรุ  ปลักควาย  ผมรู้สึกขนลุกขนพองทุกครั้ง  ว่ามันเป็นผีดูดเลือดนี่เอง   ลงน้ำที่ไหนก็ระแวงมันไว้ก่อน

20080603 c2

ผ้าร้ายควายตัวโตที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น  ขนาดสองฝ่ามือยาวเป็นฟุต   แต่นั่นแหละ  ผมไม่เคยเห็นมันดูดเลือดคนสำเร็จ  ผมเห็นแต่วัวควายตกเป็นเหยื่อของมัน  รอยปากที่มันฝากไว้บนหนังวัวควาย   เป็นเลือดแดงอาบหนังเป็นทางยาว  

ผมนึกไม่ออกว่า  หากมันเผลดูดเลือดคน  มันจะใช้เวลานานแค่ไหน
มาถึงตรงนี้  ผู้อ่านคงนึกออกแล้วกระมังครับ  ว่าเจ้าผ้าร้ายควายที่ผมนำมาเป็นชื่อเรื่อง  มันคืออะไร   
ผ้าร้ายในภาษาถิ่นใต้บ้านเกิด  หมายถึงผ้าที่ใช้เช็ดตีน(เท้า)  มักเป็นผ้าที่ใส่กันจนขาดแบบฝืนใส่ไม่ไหวอีกแล้ว  มันจะกลายสภาพเป็นผ้าร้าย  ผ้าเช็ดตีนอยู่ตรงประตู  หน้าบันได  ทางเข้าครัว  ทางไปห้องน้ำ  

หน้าที่ของผ้าร้ายคือทำตัวเองให้มีสีขุ่นเก่าเปื้อนดินคล้ำยิ่งขึ้นตามวันคืน
กระทั่งหาสีเก่าไม่พบ  หรือกลายเป็นดิน   นั่นแหละ  มันจึงจะถูกอัปเปหิออกไปจากใต้ชายคาบ้านตลอดกาล

ผ้าร้ายควาย  ช่างสอดคล้องเหลือเกินกับผ้าร้าย  ทรงของมันเหมือนสีผ้าเช็ดตีนจริงๆ  โดยเฉพาะเวลาลอยตัวกระดืบพริ้วไปบนผิวน้ำขุ่นๆ  เหมือนผ้าร้ายลอยมากับน้ำจริงๆ  
ปลิง ปลิงครับ..
แต่เป็นปลิงพันธุ์มโหฬาร  ว่ากันว่าเมื่อก่อน(คนเฒ่าเล่ากันมา)มันใหญ่โตเท่ากระเพาะควายจริงๆ   สีเหมือนหนังควาย   ดูสิ  มันชวนสยองขนหัวพองสักแค่ไหน

หากคนข่าวล่วงรู้ความหมายแล้ว  เกิดนึกสนุกจะนำไปตุนไว้ในแฟ้มตั้งฉายารัฐมนตรีหรือรัฐบาล  ประมาณว่ารัฐมนตรี/รัฐบาลผ้าร้ายควาย  ก็ไม่มีใครหวงลิขสิทธิ์  สามารถใช้ได้ตามสบายเลยครับ  เพราะคุณสมบัติของเจ้าผ้าร้ายควายนั้น  ทั้งดูด(ปากของมันเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด)  ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว  น่าขนหัวลุก  ที่สำคัญลอยตัวขุ่นๆอยู่บนผิวน้ำขุ่นๆ  

ดูอย่างไรก็ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเอาเสียเลย  

เพียงแต่วิธีของชาวนาชาวบ้าน  ที่แก้เผ็ดใส่มันก็คือปลิ้นในออกนอก  ปลิ้นนอกไปไว้ข้างใน   แม้ดูโหด  แต่ก็เป็นธรรมเนียมปฎิบัติทำต่อกันมา   ประมาณว่าจับได้เมื่อไหร่เถอะ  มันต้องไม่ได้ผุดได้เกิดใหม่  ลองสับเป็นท่อนๆทิ้งน้ำสิ  มันจะกลายเป็นตัวใหม่เท่าจำนวนที่ตัดแยกออกไป

โอย(โตย) .. รัฐบาลชุดผ้าร้ายควาย  ฟังดูแล้วไม่จืด

+++++++++++++

ปล.(1)  ผ้าร้ายควายอีกความหมาย  คือกระเพาะควาย  ผ้าร้ายหมายถึงกระเพาะ
ปล.(2)  ผมไม่ได้ตั้งใจจะยกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโคลน  มากล่าวถึงให้รู้สึกน่ากลัว  เพียงแต่ผมเชื่อว่ามันยังมีอยู่   กลับบ้านคราวนี้  ใครๆต่างก็ตอบกลับมาว่า  ผ้าร้ายควายสูญหายไปนานแล้ว  ไม่มีใครพบเห็นตามทุ่งนาอีกเลย   ในพรุก็ไม่มีใครลงเอาตัวไปให้งูเหลือมรัด  
พรุกลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวงูเหลือม
          

ความเห็น

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ตอนนี้ผ้าร้ายควายก็อยู่ในนักธุรกิจการเมือง โกงเมืองทุกยุคนั่นแหละ เป็นปลิงดูดเลือดประชาชนและธรรมชาติวิถีชีวิตของประชาชน เราจักกำจัด ผ้าร้ายควายได้อย่างไร? ก้อขึ้นอยู่กับการเมืองภาคประชาชนนั่นแหละ

นนท์ เมื่อวานอ้ายไปเยือน นนท์ กล้วย และหนูธันวา คิดถึง และไปรบกวนช่วยส่งภาพประกอบงานเขียนให้ประชาไท พร้อมต้นฉบับ

กล้วยบอกว่านนท์ควบม้าไปเยือนคารวะ พ่อหลวง จอนิ โอโดเซา ปราชญ์ ปว่าเกอญอ ตัวจริง เสียงจริง

บุญฮักษาทั้งครอบครัว คับ

Submitted by นนท์ครับ on

อ้ายแสงดาวครับ

ควบกลับมาแล้วครับ ม้าพยศระหว่างทาง โชคดีพบคนควบม้าใจดีแห่งบ้านกาด
ช่วยให้ม้าควบต่อไปได้ เปียกน้ำอย่างหรอยเลยล่ะครับอ้าย
ค่อยพบกันนะครับ อ้าย

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

คับ, นนท์ ... บุญฮักาทั้งครอบครัว , คับ

เพลงของลูกชายจ่าเพียร ชุมพล เอกสมญา (2)

ห้องครัวซ้อมดนตรี ถึงเพลงบันนังสตา
บ้านเช่าบ้านไม้เป็นบ้านชาวนาในหมู่บ้านแม่เหียะ ชานเมืองเชียงใหม่  
ห้องครัวคือห้องทำงาน  ห้องนอนบางเวลา  ห้องซ้อมดนตรี   ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก 

หมายเหตุบันนังสตา คืนหนึ่ง

สองทุ่ม   อังคารที่ 16 มีนาคม  2553   นักดนตรีในเชียงใหม่  และคนในแวดวงหนังสือ ศิลปะ  นัดรวมตัวกันที่ร้านสุดสะแนน  ร่วมรำลึกถึงการจากไปของ จ่าเพียร(พ.ต.อ สมเพียร เอกสมญา) วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด  ด้วยสายสัมพันธ์กับไวล์ดซี๊ด (ชุมพล  เอกสมญา) ลูกชายจ่าเพียรที่ผ่านมาเล่นดนตรีในเชียงใหม่อยู่เสมอๆ   เยียวยาจิตใจเมล็ดเถื่อนจากบันนังสตา 

ร่วมรำลึก ...   

ดนตรีของใต้สวรรค์ ร็องแง็งเร็กเก้ในกลิ่นอันดามัน (4)


ขอต่อยาวสาวความยืดถึงน้ามาดบางมุมดูหน้าดุ เวลาเดินเหมือนนุ่นลอยอีกหน่อย อย่างที่บอกไว้ บุรุษไร้นาม(และหนาม)ตามใจคนนี้ อย่าให้นั่งหน้าทับหน้าหนังกลองแล้วกัน ความจืดของหน้าจะถูกขับออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไม่เรียบเฉยปล่อยวางอีกแล้ว บางด้านดูดุเทียบได้ใบหน้าเสือจ้องขบ กลับเกลี่ยเสียใหม่ เป็นเสียงทะลวงไส้พุงเร้าใจผิดหน้าผิดหูผิดตาไปทันที

ดนตรีของใต้สวรรค์ ร็องแง็งเร็กเก้ในกลิ่นอันดามัน (3)


 


เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย

ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …