Skip to main content
 

 

::: ข้อความหลังเส้นประของข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ :::

 

โดย...ณภัค เสรีรักษ์

ภาพยนตร์พูดภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับชื่อดัง หว่องการ์ไว' (Wong Kar Wai) ที่เพิ่งเข้าฉายให้ผู้ชมในดินแดนประเทศไทยได้ชมกันตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่เพิ่งจะผ่านมา (2008) ที่มีชื่อว่า My Blueberry Nights นั้น อาจมีประเด็นต่างๆ นานาให้สามารถสร้างบทสนทนากันได้มากมายและยาวนาน แต่สำหรับในที่นี้นั้น ผมอยากจะ หยิบเลือก' เพียงบางประเด็นมา อ่าน' หรืออีกนัยหนึ่ง สนทนา' เกี่ยวกับ ตัวละคร' ในภาพยนตร์ดังกล่าว ภายใต้ความคิดเกี่ยวกับเรื่อง ความทรงจำ' ซึ่งสะท้อนร่วมกับความคิดเกี่ยวกับ เวลา'

ในเบื้องต้น ผมคิดว่าเราๆ ท่านๆ ต่างก็มี ความจำ/ความทรงจำ' ในฐานะที่เป็น เรื่องราว/เรื่องเล่า' ในบางส่วนเสี้ยว หรือในบางแง่มุมของชีวิต ซึ่ง เรื่องราว' ดังที่ว่านี้อาจมีสถานะเป็นทั้ง แรงขับดัน' ให้กับชีวิต-ในการก้าวไปสู่ อนาคต', อาจเป็น โซ่ตรวน' หรือแม้กระทั่ง กรงขัง' แห่งชีวิต-ให้ติดอยู่กับ อดีต', หรือในบางครั้ง บางเรื่องราว, บางความทรงจำ ก็อาจไม่ได้เป็นทั้งพลังขับเคลื่อนและ/หรือพลังฉุดรั้งใดๆ ต่อชีวิตเลย

สำหรับความคิดเรื่อง ความทรงจำ' นั้น เราๆ ท่านๆ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่ถูก หยิบเลือก' และรวมไปถึงการ ตัดทอน' จากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ต่างพบเจอในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เป็นเรื่องของ การเลือก' ที่จะ จดจำ' หรือ ลืมเลือน' บางสิ่งบางอย่าง, บางเหตุการณ์, และแม้กระทั่งคนบางคน ให้ อยู่' หรือ ไม่อยู่' ในชีวิต หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้น, อยู่หรือไม่อยู่ในความทรงจำ ซึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า การหยิบเลือกหรือตัดทอนที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นภายใต้ การให้ความหมาย' หรือ คุณค่า'

----------นี่คือเส้นประที่ว่า----------

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีใจกลางอยู่ที่ การเดินทาง' ของ Elizabeth (Norah Jones) ซึ่งเริ่มต้นหลังจากเธอผิดหวังในความรัก-แฟนของเธอไปมีคนอื่น, การเดินทางอันแสนไกลเพื่อค้นหาตัวเองและพยายามจะนำพาชีวิตให้กลับเข้าร่องเข้ารอย ทำให้เธอได้พานพบพูดคุยกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Jeremy (Jude Law) ชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ/ café ที่แฟน (เก่า) ของเธอมารับประทานอาหารกับแฟน (ใหม่) ของเขา ซึ่งทั้งคู่ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันในที่สุด, Arnie (David Strathairn) ตำรวจจราจรซึ่งติดเหล้างอมแงมเพราะเจ็บช้ำเรื่องความรักจาก Sue Lynne (Rachel Weisz) อดีตภรรยาสาวสวยของเขา และ Leslie (Natalie Portman) สาวนักพนันใจเด็ดผู้สร้างข้อเสนอสุดพิเศษให้กับเธอ, ซึ่งแน่นอนว่าผู้คน แปลกหน้า' เหล่านั้น, ที่ก็อาจเรียกได้อย่างไม่ขัดเขินว่าเป็น เพื่อนร่วมทาง', ได้นำทางให้เธอค้นพบเส้นทางไปสู่ร่องรอยของชีวิตใหม่

ภาพยนตร์เปิดด้วยฉากใน Café ของ Jeremy อันเป็นฉากที่เผยให้เราเห็นประเด็นเรื่อง การเลือกจำ' เป็นครั้งแรก ผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์ของเขา และนี่คือประโยคที่ Jeremy พูดกับคู่สนทนาของเขา...

            "No. I'm sorry, I don't know anyone by that name."

            "No, listen, I get about a hundred customers a night. I can't keep track of all of them."

            "Do you know... well, tell me what he likes to eat. ‘Cause I remember people by what they order, not by their names."

จากข้อความที่ยกมานี้ คงเข้าใจได้ว่าในฐานะที่เป็นเจ้าของร้าน Jeremy ไม่จำเป็นต้องจดจำชื่อของลูกค้าทั้งหมด หรือแม้กระทั่งอาจไม่จำเป็นต้องจดจำชื่อลูกค้าคนใดได้เลย หากแต่ว่าจดจำแต่เพียงสิ่งที่พวกเขาสั่ง, สิ่งที่พวกเขากิน ก็คงเพียงพอแล้ว หรือกล่าวในอีกทางหนึ่งได้ว่า สำหรับ Jeremy แล้ว ชื่อของผู้สั่งไม่ได้มีความหมาย แต่สิ่งที่มีความหมายนั้นอยู่ที่สิ่งที่ลูกค้าเหล่านั้นสั่งต่างหาก

แต่ตัวอย่างข้างต้นนี้อาจเป็นเพียงตัวอย่างของ เรื่องราว' ที่ดูจะเรียบง่ายเป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่ผมเห็นว่ายังมี เรื่องราว' หรือ เรื่องเล่า' บางอย่างที่มี ความหมาย' นอกเหนือไปจากสิ่งปกติในชีวิตประจำวันแต่ก็อยู่กับเราในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องเล่าที่ผูกโยง อดีต', ‘ปัจจุบัน' และ อนาคต' ไว้กับ สิ่ง' บางอย่าง, หรือ วัตถุ' บางอย่าง ซึ่งในข้อเขียนชิ้นนี้จะพยายามอธิบายประเด็นดังกล่าวผ่านความเปลี่ยนแปลงของตัวละครสองตัวจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ Jeremy และ Elizabeth 

 

 

ว่าด้วย.. Elizabeth

เช่นเดียวกับใครหลายๆ คนที่ฝาก กุญแจ' ไว้กับ Jeremy เพื่อรอให้ใครอีกคนมารับกุญแจนั้นกลับไป Elizabeth นำกุญแจห้องที่เธอเคยอยู่ร่วมกับแฟนเก่าของเธอมาทิ้งไว้ เพื่อให้แฟนเก่าของเธอมาเก็บกลับไป, ‘กุญแจ' ซึ่งเป็นวัตถุแห่งความทรงจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็น ความทรงจำร่วม' ของคนที่ไขกุญแจเพื่อเปิดประตูบานนั้นไปด้วยกัน, ‘กุญแจ' ที่เป็นสัญลักษณ์แทนความสัมพันธ์, ‘กุญแจ' ที่เป็นสัญลักษณ์ของ อดีต' ที่ฉุดรั้ง ปัจจุบัน' และ อนาคต' เอาไว้

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก Elizabeth ไม่สามารถ ทิ้ง' กุญแจ, หรืออีกนัยหนึ่ง อดีต', ไปได้จริง เธอจึงกลับมาหา Jeremy เพื่อเอากุญแจพวงนั้นกลับไปเอง และก็เป็นช่วงเวลานี้เองที่ Jeremy และ Elizabeth ได้ร่วมสนทนากันและปลอบประโลมกัน ความทรงจำร่วม' ชุดใหม่ของเธอก็ได้เกิดขึ้น, ความทรงจำที่เกิดขึ้นร่วมกับ Jeremy ที่ร้านของเขา, ความทรงจำที่มี ‘blueberry pie' เป็นวัตถุแห่งความทรงจำ, blueberry pie ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่ไม่มีคนเลือกเท่านั้น

Jeremy : At the end of every night the cheesecake and the apple pie are always completely gone. .......But there's always a whole blueberry pie left untouched.

Elizabeth : So what's wrong with the blueberry pie?

Jeremy : It's nothing wrong with the blueberry pie. Just people make other choices. You can't blame the blueberry pie. It's just no one wants it.

(และในขณะที่ Jeremy กำลังจะทิ้ง blueberry pie ลงถังขยะ)

Elizabeth : Wait! I want a piece.

ในเวลาต่อมา Elizabeth ตัดสินใจ เดินทาง' ออกจากสถานที่แห่งนั้น, กุญแจดอกเดิมนั้น, ประตูบานเดิมนั้น และแน่นอน เขาคนเดิมนั้น แต่ที่เธอทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเธอสามารถ ตัดขาด' จากอดีตที่เจ็บปวดได้ เธอเพียงแต่ต้องการจะหนีไปให้ไกลจากอดีตเพียงเท่านั้น และในระหว่างการเดินทาง ความทรงจำชุดใหม่ที่ว่าด้วย ‘blueberry pie' กำลังก่อร่างและก้าวเข้ามาแทนที่ความทรงจำชุดเดิม ปัจจุบันของเธอค่อยๆ สลัดหลุดจากความจำขังแห่งอดีตเพื่อก้าวไปสู่อนาคต

ภายหลังจากการเดินทางอันยาวนานและยาวไกล ผ่านเรื่องราวและผู้คนมากมาย เธอก็สามารถนำพาปัจจุบันของเธอกลับมา ณ ที่แห่งเดิมที่เธอได้เดินทางจากไปก่อนหน้านี้ได้อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ สำหรับ Elizabeth มันไม่ใช่ที่เดิมที่มีอดีตอันเจ็บช้ำ ถึงแม้จะเป็นสถานที่แห่งเดิม แต่ก็เป็นสถานที่แห่งเดิมที่มีความทรงจำอีกชุดหนึ่ง, ประตูอีกบานหนึ่ง, ประตู Café ของ Jeremy และ blueberry pie ของเขา และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเธอไม่ต้องการกุญแจพวงนั้นอีกต่อไป (ประเด็นนี้จะกล่าวต่อไปข้างหน้า) ซึ่งในประเด็นดังที่ว่ามานี้ อาจสังเกตได้จากการเปรียบเทียบคำกล่าวในสองช่วงเวลาซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ อันประกอบไปด้วย

สิ่งที่เธอพูด/คิดกับตัวเองก่อนที่เธอจะเดินทาง

"How do you say goodbye to someone you can't imagine living without?

 I didn't say goodbye. I didn't say anything. I just walked away.

At the end of that night, I decided to take the longest way to cross the street."

และหลังจากการเดินทางสิ้นสุด

"It took me nearly a year to get here.

It wasn't so hard to cross that street after all.

It all depends on who's waiting for you on the other side."

จากข้อความดังกล่าว ผมเห็นว่าเราสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงของ Elizabeth ผ่านเรื่อง การข้ามถนน' (cross the street) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการข้ามถนนในทางกายภาพ แต่เราควรมองการข้ามถนนนี้ในความหมายที่หมายถึงการ ก้าวข้าม' อดีต ซึ่งหมายความว่า ในท้ายที่สุด Elizabeth ก็สามารถข้ามผ่านอดีตอันเจ็บปวดชอกช้ำไปสู่ปัจจุบันและอนาคตที่น่าจะสดใสกว่า, กับสิ่งใหม่ๆได้สำเร็จ

 
  

ว่าด้วย.. Jeremy

โหลแก้วใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยกุญแจซึ่งวางอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใน Café ของ Jeremy นั้น ไม่เพียงบรรจุกุญแจจำนวนมากที่มีคนจำนวนเท่ากับจำนวนพวงของกุญแจมาฝากทิ้งไว้ แต่ยังบรรจุ เรื่องราว/เรื่องเล่า' มากมายของกุญแจแต่ละดอกแต่ละพวงด้วย และหนึ่งในนั้นก็มี กุญแจ' , ‘เรื่องราว', หรืออีกนัยหนึ่ง อดีต', ของตัวเขาเองด้วย

เช่นเดียวกับกุญแจของ Elizabeth และกุญแจของใครหลายๆ คนที่มาฝากไว้ที่ร้านของเขา พวงกุญแจของ Jeremy ก็เป็นสัญลักษณ์แห่ง ความทรงจำ' ระหว่างเขาและอดีตคนรักของเขา, Katya (Chan Marshall a.k.a. Cat Power), ผู้เดินไปจากเขาในค่ำคืนหนึ่ง มิเพียงเท่านั้น ในขณะเดียวกับการเป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ มันยังเป็นสัญลักษณ์ของ การรอคอย' ด้วย ในความหมายที่ว่าวันใดวันหนึ่ง Katya คงเดินกลับมาและกุญแจดอกนั้นก็จะถูกนำไปใช้ไขเปิดประตูของทั้งคู่อีกครั้ง และด้วยความคิดเช่นว่า เขาจึงยังคงเก็บรักษากุญแจพวงนั้นไว้ รวมไปถึงเก็บกุญแจทุกพวงที่ทุกๆ คนนำมาฝากไว้ ถึงแม้แทบทั้งหมดจะไม่มีใครมาเอากลับไปเลยก็ตาม

ไม่เพียงแต่การเก็บกุญแจ การที่เขายังคงไม่ย้ายไปไหนอาจมีความหมายถึง การรอคอย' เช่นเดียวกัน ดังที่เขาพูดกับ Elizabeth ไว้ถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่แม่ของเขาเคยบอกเขาไว้ว่า

"She said if I ever got lost I just stay in one place so she'd find me."

เขาจึงยังคงอยู่ที่ร้านเดิม, แต่แล้วในคืนใดคืนหนึ่ง การรอคอย Katya สิ้นสุดลง เธอเดินกลับมาทักทาย และบอกลา ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเก็บกุญแจพวกนั้นอยู่ แต่ Jeremy, ซึ่งก็เติบโต/เปลี่ยนแปลงผ่านช่วงเวลาของการรอคอย, ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาคงไม่ต้องการกุญแจพวงนั้นอีกต่อไป และคงไม่ต้องการจะเก็บกุญแจของใครๆ อีกต่อไปเช่นกัน เพราะเขาคงเข้าใจแล้วว่า แม้จะเก็บรักษา กุญแจ'/ ‘อดีต'/ ‘ความทรงจำ' ไว้ดีเพียงไดก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอ และไม่สามารถตอบทุกคำตอบได้ เพราะบางทีแม้จะมีกุญแจก็ยังเปิดประตูไม่ได้ หรือบางทีเปิดออกมาแล้วแต่ก็ไม่มีใครที่เราเฝ้ารอคอยอยู่ที่ตรงนั้น ดังจะสังเกตได้จากบทสนทนาระหว่างคนสองคนที่ว่า

Katya : You still have the keys?

Jeremy : Yeah, I always remember what you said about never throwing them away, about never closing those doors forever. I remember.

Katya : Sometimes, even if you have the keys those doors still can't be opened, can they?

Jeremy : Even if the door is open the person you're looking for may not be there, Katya.

แต่การรอคอยสำหรับ Jeremy ยังไม่สิ้นสุด เขากำลังรอคอย Elizabeth อยู่กับ ความทรงจำ' ชุดใหม่ที่ร้านเดิมของเขา, ความทรงจำที่ถูกผูกติดไว้กับ blueberry pie, blueberry pie ที่มักจะขายไม่ค่อยได้, แต่เขาก็รอคอยวันที่เธอกลับมากิน blueberry pie ที่ร้านของเขา, blueberry pie กับ ice-cream, นั่งตรงที่เดิมที่เคยนั่ง, สนทนากันต่างๆ นานา ฯลฯ

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปีที่ Elizabeth เริ่มออกเดินทางค้นหาตัวเอง ในค่ำคืนหนึ่ง เธอกลับมาที่ Café ของ Jeremy อีกครั้ง พร้อมกับพบว่าเขาไม่ได้เก็บกุญแจพวกนั้นอีกต่อไป และบทสนทนาของคนสองคนที่ไม่ได้พบกันเกือบหนึ่งปีก็เริ่มขึ้นที่เรื่องของกุญแจเหล่านั้น

Elizabeth : Where are the keys? You don't keep them anymore?

Jeremy : Been trying to give them back to their owners. Do you want yours?

Elizabeth : No. I don't need them anymore. ...What about your keys?

Jeremy : I got rid of them.

 

            และตามมาด้วยเรื่อง blueberry pie...

Elizabeth : Are they still left untouched at the end of the night?

Jeremy : Yep, more or less.

Elizabeth : Then why do you keep making them?

Jeremy : Well, I always like having one around just in case you pop in and fancy a slice.

 

 

คำลงท้าย..

ในท้ายที่สุด Jeremy ก็ทิ้งกุญแจดอกเดิมที่เขาเก็บไว้แสนนานไป เขาสามารถทิ้งวัตถุแห่งความทรงจำที่สำคัญของเขาไปได้ พูดอีกอย่างก็คือ เขาสามารถผลักตัวเองออกจากอดีตแห่งการรอคอยที่ไม่รู้ว่าวันที่รอคอยจะมาถึงเมื่อไรได้สำเร็จ เขาสามารถละทิ้งความสัมพันธ์ครั้งก่อนได้แล้ว

ส่วน Elizabeth ซึ่งตอบว่าเธอก็ไม่ต้องการกุญแจพวงนั้นแล้ว ก็สามารถทิ้งวัตถุแห่งความทรงจำที่ผูกเธอไว้กับอดีตที่เจ็บปวดจากความสัมพันธ์เดิมได้สำเร็จเช่นกัน เธอสามารถก้าวข้ามอดีต เหมือนกับที่เธอสามารถเดินข้ามถนนได้อย่างง่ายๆ ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งคู่จะสามารถทิ้งวัตถุแห่งความทรงจำอันเก่าไปได้ สามารถก้าวออกจากอดีตไปได้ แต่พร้อมๆ กันนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ‘blueberry pie' ได้กลายเป็นวัตถุแห่งความทรงจำอันใหม่ของทั้งเขาและเธอ เป็น สิ่ง' ซึ่งดึงดูดให้คนทั้งคู่กลับมาพบกัน และร้อยรัดทั้งคู่ไว้ด้วยกัน ผูกโยงทั้งคู่ให้อยู่กับปัจจุบันของกันและกัน และอาจวาดหวังไปสู่อนาคตร่วมกัน

แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะดังที่ Katya เคยพูดไว้กับ Jeremy ว่า "บางครั้ง ถึงแม้จะมีกุญแจ แต่ประตูก็อาจจะไม่สามารถเปิดออกได้" ดังนั้นแล้ว บางที ในเวลาข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง blueberry pie ก็อาจแปรเปลี่ยนสถานะไปเป็นวัตถุความทรงจำแห่งอดีตที่เป็นดังโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งคนทั้งคู่ไว้กับเรื่องราวความทรงจำแห่งอดีตได้เช่นกัน

 

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย   “การที่ใครจะเป็น ‘modern’ (ทันสมัย) เขาคนนั้นก็จะต้องคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และพร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากของเก่าที่ดำรงอยู่ (tradition) และที่สำคัญ คือ พร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากตัวตนของตัวเองที่ดำรงอยู่ ถ้าตัวตนเป็น modern ก็ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความเป็น modern ด้วยเหตุผลของความเป็น modern เอง”  “ในการจะเป็น modern มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็น postmodern หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าใครจะเป็น modern เขา หรือเธอคนนั้นก็จะต้องเป็น postmodern มิฉะนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถเป็น modern ได้” (Jean-Francois…
Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย   ผมชอบคำว่า ‘เพื่อนบ้าน' (Neighbor) เนื่องจากผมเล็งเห็นว่า คำว่า ‘เพื่อนบ้าน' นั้นดูจะมีความหมายในการมอง ‘มนุษย์' ที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้พูด ผู้เขียน ผู้ใช้ คำๆ นี้ในแง่ดี (Positive Thinking) ส่วนคำว่า ‘จ๊ะเอ๋' นั้น ผมจำได้ว่าเป็นคำที่ผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน (รวมทั้งตัวผม) มักจะใช้เล่นกับเด็กๆ ด้วยการเอามือ ผ้า หรือสิ่งของอื่นๆ ที่หาได้สะดวก ปิดหน้าปิดตาของตัวผู้ใหญ่เอง (หรือใช้ปิดตาเด็ก) หลังจากนั้นจึงเปิดหน้าออกพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวคำว่า ‘จ๊ะเอ๋' ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะชอบและมักจะมอบรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะเป็นการแสดงความพึงพอใจต่อการละเล่นชนิดนี้…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัย    บางครั้งผมก็รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องหอบสัมภาระมากมายเข้าไปในโรงภาพยนตร์ปัจจุบันผมแอบสงสัยว่าเหตุใดความสุขในการชมภาพยนตร์แบบเมื่อครั้งยังเป็นเด็กจึงสูญหายไป จนเมื่อมีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สะบายดีหลวงพระบาง'จึงทำให้ผมรับรู้ว่าแท้จริงแล้วความสุขในวัยเด็กของผมไม่ได้หายไปไหน แต่หนังสือ ตำรา คำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ผมแบกเอาไว้ในสมองต่างหากที่บดบังความสุขแบบที่เราคุ้นเคย 
Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย ถ้าหาก E เท่ากับ EMOTION (อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง และ อื่นๆ), M เท่ากับ MAN (มนุษย์ไม่ว่าหญิง ชาย และอื่นๆ) และ C เท่ากับ CLOCK (ซึ่งหมายถึงระยะเวลา) จากสมการ E=mc2คุณคิดว่า ‘จำนวนของบุคคล' ที่เหมาะสมกับ ‘ความรัก' จะเท่ากับเท่าไหร่? รัก/สาม/เศร้า ตามสมการ รัก/สอง/สุข และเวลาแค่ไหนถึงจะพอสำหรับ ‘รัก' ‘รัก/สาม/เศร้า' เป็นเรื่องราวของเพื่อนรักสามคน ที่ ‘แอบรัก' กัน ในฐานะที่มากกว่าเพื่อน ‘น้ำ' แอบรัก ‘พายุ' ‘พายุ' แอบรัก ‘ฟ้า' โดยที่ตัวฟ้าเองก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าพายุแอบรักตนเอง (และก็ไม่เคยรับรู้เช่นกันว่าเพื่อนรักของตนอย่าง ‘น้ำ' ก็แอบรักเพื่อนรักอย่าง ‘พายุ'…
Cinemania
  < นพพร ชูเกียรติศิริชัย >     หากพูดถึงประเทศจีน คุณนึกถึงอะไร? กังฟู, ก๋วยเตี๋ยว, หมีแพนด้า,มังกร, ลูกท้อ,ซาลาเปา, ปรัชญาลัทธิเต๋า และภูเขาสูงหน้าตาแปลกๆ   หากสิ่งเหล่านี้คือคำตอบของคุณ นั่นก็หมายความว่า คุณพร้อมแล้วที่จะไปสัมผัสกับภาพยนตร์ ‘KUNG FU PANDA’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘กังฟูแพนด้า จอมยุทธพลิกล็อค ช็อคยุทธภพ’   ผมไม่แน่ใจว่าหมีแพนด้าถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘มิตรภาพ’ ระหว่างประเทศจีน กับประเทศอื่นๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ บทบาทความเป็น ‘ทูตสันติภาพ’ ของหมีแพนด้า ในบัดนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านจอภาพยนตร์ฮอลีวู้ดไปเป็นที่เรียบร้อย 
Cinemania
   ปิติ-ชูใจท่ามกลาง ‘หนังซัมเมอร์' ที่ดาหน้ากันมาถมจนเต็มพื้นที่ในโรงภาพยนตร์ช่วงฤดูร้อน ทางเลือกของคนดูหนังใน ‘โรงหนังชั้นนำใกล้บ้านคุณ' ก็ยังไม่ได้หลากหลายอะไรนัก เพราะแนวทางหลักๆ ของหนังซัมเมอร์ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็มีแค่ แอ๊กชั่น, ตลก, สยองขวัญ และอนิเมชั่น กรณีที่อยากดูหนังนอกกระแส ก็ต้อง ‘เข้าเมือง' กันอย่างเดียว เพราะที่ทางของหนังเหล่านี้ยังกระจุกตัวอยู่ที่สยามหรือไม่ก็สุขุมวิทแค่นั้น (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ในยุคที่หนังถูกจำกัดความหมายให้เป็นแค่เครื่องมือผ่อนคลายและสร้างความบันเทิง) แต่อย่างน้อยที่สุด หน้าร้อนปีนี้ยังมีหนังไทยน่าสนใจอยู่ 2 เรื่อง ที่พอจะแหวกกระแสเดิมๆ…
Cinemania
   ::: ข้อความหลังเส้นประของข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ::: โดย...ณภัค เสรีรักษ์ภาพยนตร์พูดภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับชื่อดัง ‘หว่องการ์ไว' (Wong Kar Wai) ที่เพิ่งเข้าฉายให้ผู้ชมในดินแดนประเทศไทยได้ชมกันตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่เพิ่งจะผ่านมา (2008) ที่มีชื่อว่า My Blueberry Nights นั้น อาจมีประเด็นต่างๆ นานาให้สามารถสร้างบทสนทนากันได้มากมายและยาวนาน แต่สำหรับในที่นี้นั้น ผมอยากจะ ‘หยิบเลือก' เพียงบางประเด็นมา ‘อ่าน' หรืออีกนัยหนึ่ง ‘สนทนา' เกี่ยวกับ ‘ตัวละคร' ในภาพยนตร์ดังกล่าว ภายใต้ความคิดเกี่ยวกับเรื่อง ‘ความทรงจำ' ซึ่งสะท้อนร่วมกับความคิดเกี่ยวกับ ‘…
Cinemania
Between the FramesE-mail: betweentheframes@gmail.com:::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil::: "All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD's, and He will give all of you into our hands."                                                   …
Cinemania
 :::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil::: เวลา 2 ชั่วโมงกว่า (158 นาที) ในหนัง There will be blood - ผลงานเรื่องที่ 5 ของผู้กำกับ Paul Thomas Anderson คือเรื่องราวในด้านที่มืดดำของมนุษย์ เต็มไปด้วยความโลภ ความอ่อนแอ สันดานดิบ และแน่นอน...มันรวมไปถึง ‘การสร้างศรัทธา' ด้วยวิธีการอันน่าขนลุกด้วย...เราได้รู้จัก ‘เดเนียล เพลนวิว' (Daniel Day-Lewis) นักเสี่ยงโชคที่ตั้งใจทำเหมืองเงิน แต่บังเอิญได้ที่ดินซึ่งมีน้ำมันดิบนอนสงบนิ่งอยู่ใต้พื้นมาแทน โลกของเดเนียลไม่มีคำว่า ‘สุดแท้แต่โชคชะตา' หรือ ‘ศรัทธา' ไม่มีแม้กระทั่งคำว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า'…
Cinemania
ซาเสียวเอี้ยการไล่ตีแมลงสาบบนฝาบ้าน อาจเป็นเกมสนุกสนานอย่างหนึ่ง และเพียงสายลมเย็นจากพัดลมมือสองที่เป่าไล่ความร้อนในค่ำคืนอบอ้าวอาจเป็นถึง ‘รางวัลชีวิต' ของสองพ่อลูกผู้ยากจน...ผู้อาศัยอยู่ในโลกแห่งความแร้นแค้นทั้งหมดที่่ว่ามา-อาจฟังไม่ต่างจากสงครามชีวิตสุดรันทด (บัดซบ!) แต่เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของ ‘โจวซิงฉือ' ไอ้สิ่งที่ควรจะเศร้า...กลับทำให้เราหัวเราะออกมาได้000ถึงแม้ว่าหน้าหนังของ CJ7 จะถูกโฆษณาว่าเป็นแนว Sci-fi แต่ ‘ใจความสำคัญ' ที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่ ‘ความลี้ลับ' ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ หรือถ้าจะพูดให้ชัดๆ ก็ต้องบอกว่า นี่คือหนังครอบครัวแนว Comedy-Drama ที่ให้ ‘…