นพพร ชูเกียรติศิริชัย
“การที่ใครจะเป็น ‘modern’ (ทันสมัย) เขาคนนั้นก็จะต้องคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และพร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากของเก่าที่ดำรงอยู่ (tradition) และที่สำคัญ คือ พร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากตัวตนของตัวเองที่ดำรงอยู่ ถ้าตัวตนเป็น modern ก็ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความเป็น modern ด้วยเหตุผลของความเป็น modern เอง”
“ในการจะเป็น modern มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็น postmodern หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าใครจะเป็น modern เขา หรือเธอคนนั้นก็จะต้องเป็น postmodern มิฉะนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถเป็น modern ได้” (Jean-Francois Lyotard อ้างถึงใน ไชยันต์ ไชยพร.POSTMODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ.กทม.: หจก.ภาพพิมพ์, 2550 หน้า 41)
หากรถไฟ คือ ตัวแทนของความทันสมัย (modern) ที่จะนำพาผู้คนจากอดีตไปสู่อนาคต การที่คนกลุ่มหนึ่งมัววิ่งตามขบวนรถไฟ ก็อาจจะทำให้พวกเขาไม่สามารถไปสู่จุดหมายปลายทาง แต่ขณะเดียวกันการที่จะมัวหมกหมุ่นอยู่บนรถไฟ (modern) ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าคนกลุ่มนั้นจะสามารถหาคำตอบให้กับชีวิตของพวกเขาเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางค้นหาจิตวิญญาณโดยสามพี่น้องตระกูลวิตแมน ในภาพยนตร์ The Darjeeling Limited
The Darjeeling Limited เป็นเรื่องราวของสามพี่น้องแห่งตระกูลวิตแมน ซึ่งปรารถนาที่จะใช้โปรแกรมการเดินทางไปยังอินเดีย เพื่อผสานรอยร้าวแห่งความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
แจ็ค วิตแมน (เจสัน ชวาร์ตแมน) น้องชายคนเล็กผู้มีมุมมองต่อ ‘ผู้หญิง’ ในฐานะ ‘วัตถุทางเพศ’ (ตัวแทนขององค์ความรู้จากตะวันตก ก่อนการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม ที่ถกเถียงกันถึงเรื่องความงามและสุนทรียะ) เขาเฝ้าพร่ำเพ้อถึงความงดงามของเรือนร่าง (และความหอม) ของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันชั่วข้ามคืน (แต่สุดท้ายเธอก็เดินทางไปยังอิตาลี) โดยที่ ‘แจ็ค’ มุ่งหวังว่าหลังจากจบการเดินทางไปยังอินเดีย เพื่อสานความสัมพันธ์กับพี่ชายทั้งสอง เขาจะติดตามเธอไปยังดินแดนต้นกำเนิดศิลปกรรมยุคคลาสสิคเช่นกัน
ฟรานซิส วิตแมน (โอเวน วิลสัน) พี่ชายคนโตที่หลงใหลกับ ‘ความทันสมัย’ ของ ‘เทคโนโลยี’ (อย่างแปรสีฟันไฟฟ้า) และ ‘สินค้าแบรนด์เนม’ ตลอดจน ‘การแสดงออกซึ่งตัวตน’ (ด้วยการสลักชื่อลงบนเข็มขัด) เขาคือผู้คิดแผนการเดินทางค้นหาจิตวิญญาณ เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพี่น้องวิตแมน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือการพา ‘แม่’ (แอนเจลิก้า ฮุสตัน) ซึ่งหนีไปบวชชีกลับบ้าน (การปฏิเสธศาสนาและการยัดเยียดความเป็นแม่ให้กับสตรี) ทั้งนี้ระหว่างการเดินทาง ‘ปีเตอร์’ พยายามที่จะให้น้องๆ ของเขาปฏิบัติตนตาม ‘กฎเกณฑ์’ และ ‘ตารางเวลา’ ที่ผู้ช่วยของเขากำหนดไว้ให้ ด้วยความมุ่งหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนพบกับความสุขในแบบที่เขาเชื่อ
ปีเตอร์ วิตแมน (แอเดรียน โบรดี้) พี่ชายคนกลาง ซึ่งเติบโตมากับ ‘พ่อ’ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัว ‘ความเป็นเมีย’ และ ‘ความเป็นแม่’ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า ความเป็น ‘เมีย’ และความเป็น ‘แม่’ นั้นหมายความว่าอะไร (เปรียบเสมือนผู้ที่พยายามจะปฏิเสธองค์ความรู้แบบเก่าโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงควรจะปฏิเสธ) เขาจึงตัดสินใจที่จะหนี ‘อลิซ’ (หญิงสาวซึ่งเขาไปทำเธอท้อง) เพื่อร่วมเดินทางไปกับพี่และน้องของเขา โดยที่ ‘ปีเตอร์’ เองก็ไม่ทราบว่า พี่ชายของเขา (ฟรานซิส) วางแผนที่จะพาพวกเขาไปพบกับ ‘แม่’ (ซึ่งไม่ยอมปรากฏตัวในงานศพของพ่อ) ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ปรารถนาที่จะพบกับเธอไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ
แม้พวกเขาทั้งสามคนจะเป็นพี่น้องกันโดยสายเลือด แต่พวกเขาก็แทบที่จะไม่รู้จักกันและกัน (เช่นเดียวกับความพยายามของนักวิชาการบางกลุ่มที่จะหั่นองค์ความรู้ตะวันตกออกเป็น 3 ส่วน อดีต ปัจจุบัน อนาคต โดยที่เชื่อมั่นว่าองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ได้สัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง) และนั่นทำให้พวกเขาไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่อาจจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาสามารถที่จะระลึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างกันได้นั่นก็คือ ‘มรดกจากพ่อ’ (องค์ความรู้แบบชายเป็นใหญ่) ทั้งในแง่ของ ‘ความทรงจำ’ และ ‘สิ่งของ’ ที่ถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋าหลุยส์วิสตองจำนวน 11 ใบ
ตลอดการเดินทางโดยรถไฟ พวกเขาคือ มนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่สร้างเรื่องราวแหก ‘กฎ’ และ ‘ประเพณี’ (ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) เริ่มจากการสูบบุหรี่บนรถไฟ ต่อมาด้วยเหตุการณ์ที่ ‘แจ็ค’ น้องชายคนสุดท้อง ‘แอบ’ มี ‘เพศสัมพันธ์’ กับ บริกรสาวชาวอินเดีย ใน ‘ห้องน้ำแบบตะวันตก’ บน ‘รถไฟ’ โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่า บริกรสาวคนดังกล่าวเป็นแฟนกับ พนักงานตรวจตั๋ว
‘ปีเตอร์’ พี่ชายคนรอง แอบนำ ‘งูพิษ’ (สัญลักษณ์ของ ‘สิ่งต้องห้าม’ หรือ ‘สิ่งผิดกฎหมาย’) ขึ้นมาบนรถไฟ (สังคม) จนทำให้พนักงานเก็บตั๋ว (เจ้าหน้าที่) ตัดสินใจที่จะคาดโทษพวกเขาด้วยการให้พวกเขาอยู่แต่ในห้อง (วิธีการลงโทษด้วยการคุมขัง)
แต่อยู่ๆ รถไฟก็เกิดหลงออกนอกเส้นทาง โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน (เช่นเดียวกับปัจจุบันที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เราอยู่ในยุคสมัยใด ระหว่าง สมัยใหม่ (modern) หรือ หลังสมัยใหม่ (postmodern)) หลังจากนั้น ‘ฟรานซิส’ (พี่ชายคนโต) จึงตัดสินใจเล่าเรื่องแผนการการเดินทางเพื่อตามหา ‘แม่’ ให้น้องๆ ฟัง จนนำมาซึ่งความไม่พอใจต่อ ‘ปีเตอร์’
สุดท้ายเมื่อกลับขึ้นรถไฟอีกครั้ง ‘วิวาทะ’ เกี่ยวกับ ‘แม่’ ก็นำมาซึ่ง ‘ความขัดแย้ง’ ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ระหว่าง ‘ฟรานซิส’ (ที่หวังจะพา ‘แม่’ กลับบ้าน) กับ ‘ปีเตอร์’ (ผู้ที่ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘แม่’)จนเลยเถิด ออกไปยัง ‘พื้นที่อื่นๆ’ ของรถไฟ (สังคม) และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องถูกไล่ลงจากรถไฟจริงๆ
หลังถูกไล่ลงจากรถไฟพวกเขาตัดสินใจเดินเท้าท่องไปในดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก โดยระหว่างนั้นพวกเขาได้ตกลงกันว่าหลังจากนี้พวกเขาจะแยกกันไปตามทางของตนเอง
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อเด็กชายชาวอินเดียสามคนที่กำลังจะข้ามลำธารด้วยแพข้ามฟาก กลับตกลงไปในลำธารที่กระแสน้ำกำลังไหลเชี่ยวกราก พวกเขาทั้งสามพี่น้องจึงรีบกระโดดน้ำลงไปช่วยเด็กชายทั้งสาม ขณะที่ ‘แจ็ค’ และ ‘ฟรานซิส’ (ตัวแทนของอดีตและปัจจุบัน) สามารถที่จะช่วย 2 เด็กชายขึ้นจากน้ำได้สำเร็จ แต่ ‘ปีเตอร์’ (ตัวแทนแห่งความหมกหมุ่นถึงอนาคต) กลับไม่สามารถช่วยให้เด็กชายคนที่ 3 ไปถึงฝั่งได้ เนื่องจากขาของเด็กคนที่ 3 ติดอยู่กับเชือก และ ‘ปีเตอร์’ ก็ไม่ได้คิดที่จะแก้เชือก (ปัญหา) ที่ติดขาเด็ก แต่เขากลับเลือกที่จะขึ้นไปบนแพที่อยู่บนตัวเด็ก จนทำให้แพพลิกคว่ำ และร่างของเด็กก็ลอยตามน้ำไปกระแทกหิน
หลังจากนั้น เด็กชายชาวอินเดียสองคนซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จึงพาสามพี่น้องวิตแมน และร่างที่ปราศจากลมหายใจของเด็กชายคนที่ 3 กลับไปยังหมู่บ้านเพื่อจัดพิธีศพ
ณ หมู่บ้านชาวอินเดียแห่งนี้ พี่น้องวิตแมนได้เรียนรู้ถึง ‘บทบาท’ และ ‘หน้าที่’ ของ ‘ผู้หญิง’ ใน ‘สังคมประเพณี’ (tradition) ซึ่งถูกกำหนดให้หมกหมุ่นอยู่กับ ‘งานบ้าน’ และได้เรียนรู้ถึง ‘บทบาท’ ของ ‘ผู้ชาย’ ในฐานะผู้ประกอบพิธีกรรม ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ผ่านพิธีศพ
สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาทั้งสามหวนกลับไประลึกถึงสาเหตุที่ ‘แม่’ ของเขาไม่ยอมปรากฏตัวในงานศพของ ‘พ่อ’ เมื่อหลายปีก่อน และนั่นทำให้พวกเขาทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาควรเดินทางไปตามหา ‘แม่’ ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจหรือไม่
แต่เมื่อพวกเขาเดินทางไปพบกับแม่ คำตอบที่ได้ฟังจากปากของแม่ของพวกเขาก็คือ “บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีเหตุผล” (การปฏิเสธองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์) และเธอ “มีหน้าที่อีกมากมายที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่า” การเป็น ‘แม่’ พร้อมกันนี้เธอยังได้ขอให้พวกเขาทั้ 3 คน (แจ็ค, ฟรานซิส และปีเตอร์) รับปากเธอ 3 ข้อ คือ
“หนึ่ง พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า และก็พยายามสนุกกันในที่ที่สวยงามนี่ สอง เราจะเลิกสมเพชตัวเองมันไม่น่าพิศมัยเลย และสาม เราจะวางแผนอนาคตของเรา ตกลงมั้ย”
หลังจากนั้นแม่ของพวกเขาจึงแนะนำให้แจ็ค, ฟรานซิส และปีเตอร์ ลองใช้ความเงียบเพื่อตรึกตรองถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จนทำให้พวกเขานึกขึ้นมาได้ว่า สังคม ‘โลก’ ทุกวันนี้ก็เปรียบเสมือนกับ ‘รถไฟ’ ที่กำลังวิ่งตรงไปข้างหน้า แม้ว่ามันอาจจะวิ่งซ้ำรอยเดิม แต่รถไฟก็จะนำพาผู้คนที่โดยสารมันไปสู่อนาคตเสมอ
และทุกๆ โบกี้ (ตู้โดยสาร) ก็เปรียบเสมือน ‘พื้นที่’ ส่วนตัว (ซึ่งใช้เก็บ ‘ซ่อน’ ‘ความลับ’ ของแต่ละบุคคลไว้) แม้ว่าพวกเราอาจจะอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกัน แม้ว่ารถไฟคันนี้กำลังวิ่งไปบนรางเดียวกัน แต่บางครั้งเราก็มิอาจที่จะก้าวล้ำเข้าไปยัง ‘พื้นที่ส่วนตัว’ ของคนอื่นๆ บนรถไฟ นั่นทำให้เราไม่อาจที่จะล่วงรู้ถึงเหตุผลที่ซ่อนอยู่ภายในของ ‘ปัจเจกบุคคล’ แม้ว่าเราจะพยายามเดินค้นหามันก็ตาม
การหายตัวไปของ ‘แม่’ (สัญลักษณ์แห่งการปลดปล่อยผู้หญิงออกจากวาทกรรม ‘แม่’ และ ‘เมีย’) ในเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่ได้สร้างความเสียใจให้กับ 3 พี่น้องตระกูลวิตแมนเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามพวกเขาทั้ง 3 คนกลับเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ‘มรดกจากพ่อ’ (องค์ความรู้แบบชายเป็นใหญ่) ด้วยการทิ้งกระเป๋าหลุยส์วิสตรอง 11 ใบ ซึ่งหอบหิ้วมาตั้งแต่ต้นเรื่อง และก้าวขึ้น ‘รถไฟ’ เพื่อจะไปสู่ ‘อนาคต’ ร่วมกัน
“วินาทีแห่งการตัดสินใจคือวินาทีแห่งความบ้า และจะว่าไปแล้ว มนุษย์เราเสียเวลากับการคิดล่วงหน้า หาเหตุผลที่ดีที่สุด และมนุษย์เราเสียเวลามากมายในการนั่งทะเลาะกันกับ ‘สิ่งที่ควรจะเป็น น่าจะเป็น หรือควรจะเกิดขึ้น’ มากกว่าที่จะ ‘กระทำอะไรกันจริง’” (ข้อคิดที่นำเสนอโดยสำนักคิด Pragmatism หรือ ปฏิบัตินิยม อ้างถึงใน ไชยันต์ ไชยพร.POSTMODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ.กทม.: หจก.ภาพพิมพ์, 2550 หน้า 27-28)
วันนี้คุณพร้อมจะก้าวขึ้น ‘รถไฟ’ ไปด้วยกันหรือยัง ?