..mad mon..
::ข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์::
1. จุดเริ่มต้นของจุดจบและ/หรือจุดเริ่มต้นอันใหม่
เรื่องราวปัจจุบันในภาพยนตร์บอกให้เรารู้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น Laura (Belén Rueda) เคยใช้ชีวิตช่วงเวลาหนึ่งอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งก่อนที่เธอจะถูกรับไปเลี้ยง สถานเลี้ยงเด็กนั้นอาจเรียกว่าอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งห่างไกลผู้คน ตั้งอยู่ไม่ไกลชายหาดและทะเลซึ่งมีประภาคารสูงใหญ่คอยส่องไฟนำทาง และถ้ำอีกอันหนึ่ง, สถานที่ซึ่งเป็นอดีตแห่งความทรงจำของเธอ ... 30 ปีต่อมา Laura กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง เมื่อเธอ, สามีของเธอ - Carlos (Fernando Cayo), และ Simón (Roger Príncep) ลูกชายของทั้งคู่ (ซึ่งเป็นลูกที่ทั้งคู่รับมาเลี้ยง) ย้ายเข้ามาใน "บ้าน" หลังนี้ สองสามีภรรยาซ่อมแซมปรับปรุงบ้านหลังนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัย แต่เพื่อทำให้มันกลับมาเป็นสถานเลี้ยงเด็กอีกครั้งหลังจากถูกทิ้งร้างไป
ตั้งแต่เปิดเรื่องได้ไม่นาน ตัวภาพยนตร์เปิดให้เรารับรู้ว่า Simón มีเพื่อนสองคนซึ่งพ่อแม่ของเขามองไม่เห็น! และเมื่อพวกเขาย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ Simón ก็ได้พบกับเพื่อนใหม่คนหนึ่งในตอนที่ Laura พาเขาเข้าไปเล่นในถ้ำ! และตามมาด้วยเพื่อนใหม่อีก 5 คนในบ้านหลังนั้น,เด็ก 6 คนที่ไม่มีใครมองเห็น!
Simón ได้ชวนให้ Laura ร่วมเล่นเกมไขปริศนาผ่านสิ่งของกับเพื่อนที่มองไม่เห็นของเขา (ซึ่ง Laura มารู้ในภายหลังว่าพวกเธอและเขาเหล่านั้นคือเพื่อนในวัยเด็กของเธอ), เกมซึ่งสิ่งของต่างๆในฐานะที่เป็นคำใบ้สู่ปริศนาจะถูกวางอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง และผู้เล่นต้องนำของเหล่านั้นแต่ละอันกลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะเป็นทีละอันๆจนพบคำตอบ, มันจึงเป็นเกมที่เล่นกับการสังเกต การรับรู้ ความเป็นระเบียบ ลำดับ ความคุ้นเคย และที่สำคัญคือความทรงจำ.. หลังเกมรอบแรกจบลงที่แฟ้มประวัติของ Simón ซึ่งมีข้อความหนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นพาหะของโรคเอดส์ (HIV carrier แปลจาก portador del VIH) ทั้งคู่มีปากเสียงกัน Simón โกรธมากที่แม่และพ่อของเขาโกหกว่าเขาเป็นลูกจริงๆ ทั้งที่เขาถูกรับมาเลี้ยง นอกจากนั้น มันยังทำให้เขารู้ว่าถ้าเขาไม่กินยา ไม่นานเขาก็จะตาย
2. คนหาย/การตาย และสายสัมพันธ์
ในวันหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศของงานเลี้ยงใส่หน้ากาก, งานเลี้ยงเปิดโรงเรียน/โรงเลี้ยงเด็กพิเศษของสองสามีภรรยา, Simón ต้องการให้ Laura ไปดู "บ้านเล็กของ Tomas", เพื่อนใหม่คนหนึ่งของเขา, แต่ Laura ซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับงานเลี้ยงปฏิเสธ ทั้งคู่มีปากเสียงกันอีก ไม่นานจากนั้น Laura ถูกแกล้ง/ทำร้ายโดยเด็กคนหนึ่งที่สวมหน้ากากกระสอบ, ซึ่งบนเสื้อมีข้อความว่า "Tomas", เด็กซึ่งไม่มีใครเห็นเขายกเว้น Laura, และเป็นวันนั้นเองที่ Simón หายตัวไป!
การหายตัวของ Simón ทำให้ Laura ค่อยๆ "ย้อนเวลา" กลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เธอถูกรับไปเลี้ยง เธอได้รู้ว่าในบ้านเด็กกำพร้าหลังนั้นมีเด็กอีกคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก, เด็กชายพิการไม่กำพร้าผู้สวมหน้ากากกระสอบ, Tomas, และแม่ของเขา, Benigna, คนเลี้ยงเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเธอไม่สามารถจดจำได้
เธอได้รู้ว่าหลังจากที่เธอออกจากบ้านเด็กกำพร้าไม่นาน ในวันหนึ่งเด็กๆไปเล่นกันในถ้ำริมทะเลซึ่งน้ำท่วมถึง เพื่อนๆของเธอแกล้ง Tomas โดยการถอดหน้ากากของเขาออกเพื่อที่จะรอดูใบหน้าไร้หน้ากากก้าวออกมาจากถ้ำ และตั้งแต่นั้น เขาก็ไม่กลับออกมาอีกเลย ในวันต่อมา ร่างไร้ชีวิตอันปราศจากหน้ากากของเด็กชายถูกพบบริเวณชายหาด ในเหตุการณ์นั้น เด็กๆคนอื่นไม่ถูกกล่าวโทษ ว่ากันว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากการเล่นกันของเด็กเพียงเท่านั้น..
Laura ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราวต่อมาจนพบว่า หลังจาก Tomás ตายไปได้ไม่นาน Benigna ชำระแค้นให้กับลูกชายของเธอโดยการวางยาพิษเด็กกำพร้าที่เหลือจนตายไปทั้งหมด, "เด็กกำพร้า" ผู้ซึ่งไม่มีสายสัมพันธ์กับใครที่ต้องตายไปโดยไม่มีใครมาร้องขอความเป็นธรรมให้พวกเธอและเขา, Laura ค่อยๆแกะรอยจาก (เกมปริศนา) สิ่งของซึ่งวางอยู่ผิดที่ผิดทาง เธอค่อยๆพบ (และ/หรือเรียกคืนความทรงจำ?) และจัดเรียงสิ่งของต่างๆในบ้านบางอย่างให้เข้าที่เข้าทาง และในที่สุด มันทำให้เธอพบซากกระดูกของเพื่อนๆเด็กกำพร้าของเธอ (โดยที่ "ของ" ชิ้นสุดท้ายอีกชิ้นหนึ่งยังไม่ได้ถูกไขปริศนา) ..ในชั่วขณะนั้น เธอคงกำลังคิดว่าใกล้จะได้พบกับ Simón แล้วกระมัง...
3. อดีตหลอน, ความทรงจำหวนคืน และการหลอมรวมของกาลเวลา
หลายเดือนผ่านไป และหลากวิธีในการค้นหา (ซึ่งรวมไปถึงการติดต่อกับวิญญาณผ่านคนทรงและการสะกดจิต) สองสามีภรรยาก็ยังไม่พบกับลูกชายที่หายไป.. Carlos ซึ่งแทบจะหมดหวังไปแล้วพยายามจะชวน Laura ออกไปจากบ้านหลังนั้นสักพักหนึ่ง แต่เธอก็ปฏิเสธ พร้อมๆไปกับการร้องขอที่จะได้เธออยู่ในบ้านหลังนั้นเพียงลำพัง ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับ Simón อีกครั้งหนึ่ง..
ในระหว่างนั้น Laura จัดแจงเปลี่ยนสภาพบ้านหลังนั้นให้กลับไปเป็นโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแบบเดิมในวัยเด็กของเธอเมื่อสามสิบปีก่อน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆถูกนำกลับไปวางในที่เดิมที่มันเคยอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ Laura ได้นำการละเล่นในวัยเด็กกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง พร้อมๆกับการกินยาจำนวนมหาศาล (คนทรงบอกกับเธอว่า ในสภาวะที่ใกล้จะถึงความตาย จะสามารถพบปะพูดคุยกับวิญญาณได้.. เธอคงจะกินยาเหล่านั้นเพื่อให้ใกล้ตาย) ภาพที่เราเห็นต่อมาคือเพื่อนของเธอค่อยๆปรากฏตัวขึ้น! เด็กๆกลับมาเล่นเกมเดิมๆอีกครั้ง! ทั้งหมดยังคงเป็นเด็ก! มีเพียงเธอเท่านั้นที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! เวลาของเธอเดินทางต่อไปแต่เวลาสำหรับเด็กๆเหล่านั้นกลับนิ่งสนิท,ไม่ต่างอะไรกับ Peter Pan และ Neverland...
และแล้ว "ของ" ชิ้นสุดท้าย, "ลูกบิดประตู", ก็ได้นำพา Laura ไปสู่ "ประตู" อันหนึ่ง, ประตูไปสู่ "บ้านเล็กของ Tomás" สถานที่ซึ่ง Simón เคยอยากจะพาเธอไปดูแต่เธอปฏิเสธ.. เธอพบร่างไร้ชีวิตของ Simón ในที่แห่งนั้น, ร่างเด็กชายที่สวมหน้ากากกระสอบ, หน้ากากกระสอบของ Tomás นั่นเอง!
Laura กินยาเข้าไปอีก (เธอคงอยากเข้าใกล้ความตายมากขึ้นไปอีก เพื่อที่จะได้พูดคุยกับลูกชายสุดที่รักของเธอ และเธออาจหวังลึกๆว่าจะนำเขากลับมาจากความตายได้สำเร็จ) ..และเพียงชั่วอึดใจ Simón ก็ลืมตาตื่นขึ้น, จากการที่เขาสามารถไขปริศนาจากเกมในตอนแรกได้เขาจึงสามารถอธิษฐานได้ข้อหนึ่ง, และคำอธิษฐานของ Simón ก็คือต้องการให้ Laura, แม่ของเขาอยู่ดูแล "พวกเขา" ณ ที่แห่งนี้, บ้านเด็กกำพร้าหลังเดิม, ที่ซึ่งเธอเคยจากไปเมื่อสามสิบปีก่อน
เมื่อสิ้นสุดคำอธิษฐาน Laura กลับมาสู่ The Orphanage (ในฐานะที่หมายถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า "แห่งนี้") อีกครั้งหนึ่ง โดยอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งกับเพื่อนๆในวัยเด็กซึ่งเธอได้จากมา พร้อมๆกับได้อยู่กับลูกชายสุดที่รักของเธออีกครั้งหนึ่ง ในแง่นี้ ความทรงจำและแรงปรารถนาแห่ง "อดีต" จึงได้หลอมรวมเข้ากับความคาดหมายแห่ง "ปัจจุบัน" และแรงปราถนาแห่ง "อนาคต" กลายเป็นความสมปรารถนาอันปราศจากเวลา กาลเวลาของ The Orphanage จึงหยุดนิ่งอย่าง Neverland และพวกเธอและเขาคงจะไม่มีวันพรากจากกันไปอีก.. ตลอดกาล
4. ผีหลอก/อดีตหลอน
หาก The Orphanage ในฐานะของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งหลอมรวมอดีต, ปัจจุบัน, และอนาคตของ Laura เข้าด้วยกัน แล้ว The Orphanage ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะกล่าวได้ว่ามันคืออะไร.. ผมเห็นว่าคงไม่เป็นการเยินยอจนเกินไปหากจะบอกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมชั้นดีของหนังดราม่าหนักๆที่ทั้งแสดงภาพของความรักของครอบครัวพร้อมๆไปกับแสดงภาพในบางแง่มุมของสังคมที่ "เด็กกำพร้า" (และอาจแทนที่ด้วยคนกลุ่มอื่นๆอีกมากมาย) เป็นกลุ่มคนที่ถูกละทิ้ง, ผสมผสานเข้ากับพล็อตเรื่องของหนังฆาตรกรรมที่ตัวเอกต้องเสาะหาฆาตรกรที่สร้างปมให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด, พร้อมๆไปกับความเป็นหนัง "ผี" ที่ "หลอกหลอน" ตัวละครเอกของเรื่องและผู้ชมไปพร้อมๆกัน.. แต่ไม่ว่า "ผี" ในภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม สำหรับ Laura แล้ว "อดีต" ของเธอนั่นแหละที่เป็น "ผี" มาคอย "หลอน" เธออยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย
ความเห็น
ช่วงนี้"อ
ช่วงนี้"อ้อ"ก็อ้วนนิโหน่ยเองง่ะ พอดีโสด(เพราะหย่าการเงิน)จ่ะ พักนี้เลยหมกมุ่นกะนายตำหนวดติดตามหนักไปนิด น้ำหนักเลยลด ฮิฮิ แรงน้องเค้าเยอะดี ไม่เหมือนอดีตตำหนวดแก่ๆ เก่งแต่สู้กะนักร้อง
ส่วนลูกชายอ้อ อืมมม...แกก็ซาดิสท์เล็กๆ ตามประสาเด็กบ้านแตกง่ะ เป็นใครก็เหอะพ่อ-แม่ไปโกงชาติซะโดนคนด่าทั้งแผ่นดินขนาดนั้น แกเลยเครียด หันไปเอาดีทางเป็นเกย์,อัพยาเคไปวันๆประสาลูกคนรวยอ่ะค่า!! ฮิฮิ!!
อ่า..มาถึงเรื่องสะใภ้..ถ้าหมายถึงหนู"น้ำไม่ไหล"น่ะเหรอคะ ฮิฮิ..อ้อก็ไม่รู้ว่าชอบแก้ผ้ารึเปล่านะ(ไม่อยากเห็นด้วยง่ะ)
รู้แต่ว่า ลูกสาวคนเล็กน่ะ ชอบมากเลยคร่า!! ทุกวันนี้ ก็เสียเงินเสียทองไปจ้างนักร้องหล่อๆ ดาราหล่อๆมาแก้ผ้าให้เธอทู๊กวันเลย อิอิ....แต่ตอนที่อยู่อังกฤษน่ะ ช่วงนั้นน้องเค้าฟรีคร่า..เป็นโปรโมชั่นช่วงขาลงที่ต่างแดนจ่ะ!! ฝรั่งมั่ง,นิโกรมั่ง น้องเค้าก็ไม่เลือกเลยค่ะ...ที่ว่ามาทั้งหมดน่ะ"อ้อ" คอนเฟิร์มนะคะ ฮิฮิ
คุณhifi ถึ
คุณhifi
ถึงผมจะไม่ได้เป็นเสื้อแดงหรือชื่นชมทักษิณ แต่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับพฤติกรรมต่ำช้าของคุณมาก คุณจะด่าว่าทักษิณรุนแรงหรือหยาบคายกว่านี้ แบบพวกหัวเกรียนแถวนี้ ผมยังไม่กังวลใดๆ แต่การพูดพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแบบนี้ ส่อถึงพื้นฐานความคิดที่ต่ำช้า ขาดการอบรมสั่งสอนจากบุพการีที่ถูกต้อง
ขอประท้วงพฤติกรรมแบบนี้อย่างรุนแรง ประชาไทไม่ควรปล่อยให้มีการpostด่าบุคคลที่สามอย่างเลวทรามแบบนี้ ควรลบออกทันที หวังว่าทัศนคติเลวๆแบบนี้ไม่ไช่มาตรฐานพวกพธม.ทั้งหมดนะครับ
นี่คือบท
นี่คือบทคัดย่อของหนังหรือเปล่าครับ
ตั้งแต่ต้นจบจบบทความมีแต่เนื้อเรื่องย่อของหนัง ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง การเขียนบทความเกี่ยวกับหนังต้องแจกแจงรายละเอียดขนาดนี้เลยหรือครับ
มีความคิดเห็นของผู้เขียนอยู่ช่วงท้ายอยู่หน่อยเดียว
เขียนขึ้นมาทำไมครับ
กราบเรีย
กราบเรียนคุณ หมาดำ ที่เคารพ.. (ขออภัยที่เพิ่งเห็น)
มันดูคล้ายอย่างที่คุณว่านั่นแหละครับ แต่หากคุณลองสังเกตสักนิดหนึ่ง คุณจะเห็นว่าผมได้ใ้ช้เครื่องหมาย "อัญประกาศ" คร่อมคำ/ข้อความหลายๆส่วนไว้ ซึ่งผมถือว่าเป็น "คำชวนสงสัย"/"ชวนตีความ" หากอ่านผ่านไปเลย มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรครับ
ความคล้ายอย่างที่คุณว่าอีกประการก็คือ มันเป็นการเขียนผ่าน "การมอง" และ "การอ่าน" "หนังเรื่องนี้" ของตัวผมในฐานะผู้เขียน ซึ่งมันอาจะตรงหรือไม่ตรงกับใครๆในโลกก็ได้ก็ตาม
และดังนั้น.. ความคิดเห็น/การตีความของผมจึงถูกแทรกสอดอยู่ในแทบทุกส่วนอยู่ตลอดบทความเลยครับ
มากไปกว่านั้น สิ่งที่คุณมองว่าเป็น "รายละเอียด" นั้น.. อาจใช่หรือไม่ใช่ "รายละเอียด" สำหรับใครหรือไม่ใช่สำหรับใครก็ได้มิใช่หรือครับ
การดูหนังไม่ได้ดูได้แบบเดียว เฉกเช่นเดียวกับการฟังเพลง การอ่านหนังสือ และแม้กระทั่งการเขียนวิจารณ์ หรือการเขียนวิเคราะห์ หรือไม่ต้อง "จำแนก" "ประเภท" เลย ว่า "บทความเกี่ยวกับหนัง" ดังที่คุณเรียก.. มันก็ไม่ได้มีแบบใดแบบหนึ่งมิใช่หรือครับ..
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
madmon
เพิ่มเติ
เพิ่มเติมครับ..
จะบอกว่าสิ่งที่คุณทักท้วงมานั้น เป็นสิ่งที่ผมกังวลตั้งแต่ตอนเขียนแล้วว่าจะเขียนออกมาในลักษณะนี้ และน่าจะมีคนทักท้วงเช่นนี้..
เมื่อยังมีคนทักท้วงเช่นคุณอีก ผมเลยถือว่านี่คือความอ่อนหัดในการภาษาของผมทั้งสิ้น
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
จะเอาไปปรับปรุงครับ
madmon
ขออภัย(จา
ขออภัย(จากใจ ไม่ได้ประชด)
อาจเป็นความอ่อนด้อยในการอ่านของผมเองที่ทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณ madmon ชวนสังเกต ซึ่งก็คือ เครื่องหมายอัญประกาศ จะว่าไป ผมกลับไปอ่านอีกรอบหลังจากอ่านความคิดเห็นของคุณ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณต้องการอะไร
แต่ช่างเถอะ การที่ผมไม่เข้าใจ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่คุณเขียนมันขึ้นมาสักหน่อย
เขียนต่อไปครับ เอาใจช่วย