Skip to main content

สถานีรถไฟดานังติดแอร์คอนดิชันเย็นฉ่ำ


แดดร้อน ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจพร้อมท่าเรือขนาดใหญ่ ยาดาเดินแหวกผู้คนออกมาทางตามชานชาลา ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่หยุดพักผ่อน ประตูใหญ่จากชานชาลาปิด เราแทรกตัวออกมาตามบานพับของประตูเหล็กชนิดยืดได้หดได้


บริเวณก่าดานังเต็มไปด้วยรถแท็กซี่และมอเตอร์ไบค์(รับจ้าง) แท็กซี่มิเตอร์ที่เวียดนามมี 2 แบบ คือ แท็กซี่ของรัฐและแท็กซี่อิสระ สังเกตุได้จากสภาพรถและบุคลิกภาพของคนขับรถ ทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราออกมา (อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มไปไหนอย่างไรดี) แท็กซี่กลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามาสอบถามและเสนอราคาอย่างไม่ปรานีปราศรัย


เราชะงักกึกและออกจะอึ้งเล็กๆ


เมื่อรู้ว่าเราต้องการไปโฮยอาน แท็กซี่นายหนึ่งเสนอให้เราเหมารถของแกทันที แกบอกว่า ระยะทางจากดานัง-โฮยอาน เหมารถไปไม่เกิน 1 ชั่วโมง ราคานี้อยู่ที่ 130.000 ดอง


บางครั้งคนเรามักจะจำเรื่องเลวร้ายมากกว่าเรื่องดีดี ด้วยบุคลิกภาพของแท็กซี่อิสระผู้นี้และความไม่รู้ข้อมูลของนักเดินทางแบบแบ็กแพ็กเกอร์อย่างเรา ทำให้เราตัดสินใจจับรถแท็กซี่ของรัฐไปสถานีขนส่งเพื่อต่อรถเมล์มากกว่าจะเหมารถ


ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยตึกรามหรูหราคล้ายๆ กับถนนสีลมบ้านเรา เลียบเลาะไปตามชายฝั่งทะเล เรามองเห็นเรือกระด้งลอยลำเหมือนที่เห็นในหนังสือท่องเที่ยว รถกับการจราจรที่ดูวุ่นวายบอกถึงความเป็นเมืองท่าเศรษฐกิจได้อย่างเห็นภาพพร้อมๆ กับ คำกล่าวที่แว่วจากเพื่อนผู้หวังดีว่า “ดานังเป็นแหล่งชุมนุมของนักล้วง”


ผมคิดถึง ป้ายเตือนให้ระวังกระเป๋าสตางค์บริเวณอนุเสาวรีย์ชัยภูมิ


สถานีขนส่งดานังใหญ่พอๆ กับหมอชิต แต่มีรถและกลุ่มอาคารอำนวยการน้อยกว่า เรากำลังคิดว่าจะเข้าโฮยอานค่ำสักหน่อย ไหนๆ ก็มีโอกาสมาถึงเมืองท่าแห่งนี้แล้วก็น่าจะได้ถ่ายรูปกับเรือกระด้งเสียหน่อย


เราแบกกระเป๋าเข้าไปสอบถามตารางเวลารถทัวร์ไปโฮยอานเที่ยวสุดท้าย เอ่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เจ้าหน้าที่สถานีต่างส่ายหน้า เมื่อเราพยายามถาม โบกมือเป็นเชิงว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครคุยกะเรารู้เรื่อง จนเราเหวอ !


เอาไงดีกับชีวิต

หรือว่าไปโฮยอานเลย” เพราะจะมีรถออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ยาดาเสนอ

ผมเห็นดีด้วยเหตุผลเข้าข้างตัวเองเล็กน้อยว่า ดานัง เจริญเกินไป อิอิ


สุดท้าย เราอยู่บนรถไปโฮยอานจนได้


รถเมล์ดานัง-โฮยอาน ใหญ่กว่ามินิบัสคันเขียว(แข่งตาย) ในเมืองไทยสักเล็กน้อย เป็นรถเมล์ขนาดกลางและจอดรับทุกคนด้วยไมตรีจิต กระเป๋ารถเป็นผู้ชายผิวขาว รูปลักษณ์คล้ายคนจีน ตาหยีและมีหนวดแหลมเหนือริมฝีปากบาง ใส่เสื้อเชิ้ตมอมอกับกางสแล็กเทาซีดและรองเท้าแตะหนังสีน้ำตาล รถเลี้ยวออกจากสถานีไปอยู่บนถนน ทะยานไปข้างหน้าอย่างผู้ชำนาญทาง


ผู้โดยสารชาวเวียดนามขนข้าวขนของขึ้นมาบนรถอย่างทุลักทุเล คนหนึ่งหิ้วจักรยานขึ้นมาหลังรถวางพิงไว้ข้างหน้าต่าง พนักงานเดินตั๋วอีกคนเดินมาเก็บเงิน เค้าขอเราในอัตรา 20.000 ดอง

ราคานี้สำหรับนักท่องเที่ยวครับ

ราคาจริงจะอยู่ที่ 8.000-10.000 ดอง ตามระยะทาง

ผมแอบเห็นผู้หญิงที่มาเก็บสตางค์แอบส่งเงินให้กระเป๋ารถผู้ชาย


แดดร้อนกระจายเข้ามาตามหน้าต่าง รถเริ่มวิ่งออกชานเมือง ฝุ่นกระจายคลุ้งและเส้นทางเริ่มขรุขระ 2 เลน พอสวนกันได้แต่ถึงกระนั้น รถเมล์คันนั้นยังคงวิ่งคร่อมเลน


มีเรื่องน่าแปลกใจสำหรับการจราจรของเวียดนาม เป็นที่รับรู้กันว่า รถยนต์ที่นี่ใช้พวงมาลัยขวาและชอบวิ่งคร่อมเลน หากมองเห็นรถมอเตอร์ไบก์(ไซค์)เจ้าเมล์ด่วนจะบีบแตรไล่ให้ชิดขวา ก่อนจะวิ่งคร่อมเลนอยู่อย่างนั้นหรือหากเจอรถสวนทางมาจะใช้ระบบวัดใจ


ใครมาเร็วกว่า อีกคันต้องหลบไป

เล่นเอาหัวใจผู้โดยสารอย่างเราเหลือแค่สองนิ้ว

รถวิ่งมาสักระยะ เด็กหนุ่มแต่งกายสีเขียว 5 คนในชุดทหารเต็มยศขึ้นมาบนรถ 3 คนในจำนวนนั้น เลียบๆ เคียงๆ ว่าเรา 2 คน มาจากประเทศอะไร

ไท๊แลง” เขาส่งเสียงสูงก่อนจะยกนิ้วโป้งให้เราอย่างชื่นชม

เรายิ้มรับ อย่างไม่เข้าใจเหมือนกันว่า แกชื่นชมอะไร


เมื่อความสนิทสนมเดินทางมาได้ถึงจุด ผมเลียบเคียงกลับไปว่า พวกเขาเป็นทหารหรือตำรวจ เขาหันมาจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าขรึมๆ

ตายละวา ก_พูดไรผิดไปหว่า”

เราไม่ใช่ทหารหรือตำรวจ แต่เราเป็นนักรบของประชาชน”

 

รถเมล์พาเราไปจอดที่สถานีขนส่งโฮยอาน เป็นสถานีเล็กๆ สำหรับรถแล่นมาแล้วกลับทันทีมากกว่าจะเป็นสถานีจอด ข้างๆ มีเต๊นท์ผ้าใบสีน้ำเงินเป็นที่หลบแดดของมอเตอร์ไบก์(รับจ้าง) ที่คอยท่านักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่แล้ว


สถานีฝุ่นคลุ้งเพราะเป็นฝุ่นดินแดง กระเป๋ารถบอกเราว่าถึงแล้วและให้เราต่อรถมอเตอร์ไบก์ไปโรงแรม หลังจากดูแผนที่และหาโรงแรมได้แล้ว ต่อรองราคากันนิดหน่อย ราคาจึงลงมาอยู่ที่ 10.000 ดอง ส่งถึงหน้าโรงแรม


คิดค่านู่นนี่สะระตะ เราจ่ายค่าเดินทางจากดานัง-โฮยอาน พอๆ กัน ไม่ว่าจะเหมารถแท็กซี่จากสถานีรถไฟหรือมาต่อรถเมล์ ห่างกันราวๆ 40.000 ดอง


แนะนำว่า หากต้องการเห็นชีวิตผู้คนให้มารถเมล์ครับ


โฮยอานเป็นเมืองเล็กๆ และสุดแสนจะโรแมนติก ริมแม่ฝั่งแม่น้ำทูโบน เราพักโรงแรมโฮยฮอง ในราคา 11 เหรียญ/คืน (ห้องเล็กนิดนึงแต่ทิวทัศน์ดีสุดๆ) อยู่ใกล้ตลาดและสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำ กลางคืนจะมองเห็นแสงไฟจากเรือบ้านเป็นจุดๆ เต็มไปทั่วผืนน้ำสีดำสนิท


หลังจากเก็บของเราเริ่มตะลุยตลาดริมแม่น้ำที่เป็นสะพานปลา สดจากแม่น้ำ ของแท้และดั้งเดิมจะต้องมีกลิ่นปลาสดโชยมาตามลม เสียงแม่ค้าต่อรองราคาและจัดวางสินค้าดูวุ่นวาย มีตั้งแต่ของแห้งไปถึงผักสด ไข่ไก่ ลูกเป็ด และปลา ปลา ปลา ฯลฯ


บ้านเรือนของโฮยอานยังคงสภาพดั้งเดิมอย่างที่มันเคยเป็น ทั้งจั่ว ผนังสีเหลืองและบ้านเก่าแก่นับสิบหลังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว(เก็บเงิน) เหมือนกับว่า เราเดินอยู่ในหมู่บ้านคนจีนแบบที่เราเห็นในหนัง

 

หนังเรื่องไควเอ็ต อเมริกา ที่ใช้ฉากโฮยอานถ่ายทำ เริ่มต้นเรื่องด้วยการให้ตัวเอกไมเคิล เคน พูดว่า “หากคุณได้กลิ่นคาวปลา แสดงว่า คุณมาถึงเวียดนามแล้ว”


ยาดาบอกถึงโฮยอาน ประมาณนี้

 


 19_06_1

ธงชาติเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในเวียดนาม



19_06_2
รถลากจอดนิ่งสนิทในโลกยุคใหม่



19_06_3
โปสการ์ดภาพวาดฝีมือศิลปินชาวเวียดนามที่มีมากในโฮยอาน



19_06_4
รูปทรงบ้านเรือนที่ยังคงกลิ่นอายแห่งอดีต



19_06_5


19_06_6


19_06_7

 

 

19_06_8

โฮยอานยามราตรี น่ารัก



19_06_9
คุณยายชาวเวียดนาม งดงามในแสงสีขาว

 

 

 

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ปลูกป่า สร้างร่มเงาโคลนสีแดงเหนียวหนึบค่อยๆ ซึมผ่านถุงมือไหมพรมสีขาว ท่อนไม้แหลมเหลาปลาย ถูกกระทุ้งลงดินแข็ง แล้วคว้านเป็นหลุมกว้างขนาดพอจะใส่กล้าไม้ฉีกถุงเพาะกล้าเบาๆ สองมือค่อยๆ โอบประคองดินดำห่อหุ้มต้นอ่อนลงในหลุมที่ถูกคว้านและตีกลบเบาๆ ให้ดินแน่นนำถุงเพาะกล้าครอบบนแนวไม้ที่ปักเอาไว้ ใบเล็กๆ สีเขียวบนลำต้นบอบบางตั้งฉากเป็นแนวดิ่งเป็นอันเสร็จขั้นตอนสำหรับการปลูกกล้า พร้อมกับหัวใจของแต่ละคนที่หวังว่ากล้าเล็กๆ จะเติบโตเป็นป่า ให้ร่มเงาแก่ผืนดินและโลก...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
“นาย ... !! เขียนงานให้เรายัง” ผมถามดาด้าตัวละครเก่าของผม “อีกนิดนึงพี่” “เฮ้ย เอาวันนี้นะ” (จันทร์) ม่ายงั้น ‘เจ้’ ทวง “เอ๋า พี่ไม่ได้กำหนดเวลานี่” “เออ รีบเลย” เวลาผ่านไป ไม่นานเลย ..... “ดาด้า นายแน่มาก” “ไร” “อ่านแล้วขนลุกเลยว่ะ” “ไปห้องน้ำเลยไป” !!! @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
“พี่ ไปแค้มป์แม่หละกันไม๊” ดาด้าตัวละครเก่าของผมเอ่ยถาม ระหว่างที่เรานั่งรถไปจังหวัดกระบี่ “ตาก อะนะ” ผมทำตาลุก มันเป็นสถานที่หนึ่งที่ฝันว่าจะไปถ่ายรูป “วันไหน” “เนี่ย กลับจากนี่แหละ” มหาดไทยอนุญาตให้ออฟฟิศของดาด้า เข้าไปถ่ายทำเรื่องกลุ่มมุสลิมในแค้มป์ ผมนั่งนับนิ้ว เอ มันตรงกับวันอะไรหว่า !! “เออ นายเขียนแคนโต้แล้วถ่ายรูปมาลงคอลัมน์เรานะ” เสียดายครับ @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แคกตัสบางชนิดมีหนามหนุ่ม ฟู และดอกบนหัว สวยงามแต่ดูน่ากลัว ผีเสื้อเป็นราชินีแห่งแมลงที่น่าเก็บภาพเสมอ ผู้ย่อยสลาย เห็ดราบางชนิด มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์เป็นอย่างยิ่ง เอ่อ ผมจำไม่ได้ว่าเป็นดอกอะไร ครับ!! แมลงปอ ราชันย์แห่งแมลงที่น่าเก็บภาพเหมือนกัน ต่างตัวต่างลีลา ใบไม้ธรรมดา จะดูน่าสนใจเมื่อมีแสงเงาตกกระทบ โฟกัสที่ดอกไม้ เขาว่า "ผีเสื้อขยับปีก โลกถึงกับสั่นสะเทือน" สวัสดีครับ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณนั้นทั้งบริเวณเป็นเกาะ สายน้ำไหลเรียบเรื่อยเซาะแก่งหินและรากไม้ใหญ่ริมตลิ่งเป็นเงาเว้าๆแหว่งๆ คือ การออกแบบอย่างลงตัวของธรรมชาติ สายฝนพรำตั้งแต่เริ่มเที่ยง อุโบสถหลังขนาดกะทัดรัดจึงกลายเป็นที่หลบฝนของชาวบ้าน หลายคนอุ้มลูกนั่งยองๆ อยู่ใต้ชายคา เด็กๆ กับเพื่อนบางคนหลบเข้าใต้ถุนอุโบสถขีดเขียนพื้นดินทรายเล่นฆ่าเวลา ชนกะเหรี่ยงโปจากหลายหมู่บ้านมาร่วมทำบุญปีใหม่ที่อุโบสถกลางน้ำ หมู่บ้านคลิตี้ล่าง หมู่บ้านของมนุษย์ตะกั่ว .. ปีใหม่แบบไทยๆ แต่ละปี อุโบสถกลางน้ำจะกลายเป็นที่ชุมนุมของคนในหมู่บ้าน ด้วยแรงเชื่อถือศรัทธา ชนกะเหรี่ยงโปจะเดินแห่ร้องรำทำเพลงกันมาเพื่อสรงน้ำพระสงฆ์ เมื่อถึงเวลา…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ไม่แน่ใจหรอกว่าเคยไปแม่ฮ่องสอนมากี่ครั้งกันแน่ รู้แต่เพียงว่า เพราะความที่มันไกลเสียจนมีคนร่ำลือถึงได้พยายามดั้นด้นไปให้ถึง ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง (ก็ยังอ๊วกเหมือนเดิม อิ อิ) ... “หากผมมีโอกาสได้แต่งงานนะ ผมจะแต่งที่แม่ฮ่องสอน” “เออ คุณไม่ต้องส่งการ์ดเชิญมาให้ผมนะ ไกลชิบ” “เฮ้ย มันมีเครื่องฯ .. บินถึง ..” “เออ ผม เมาเครื่อง” ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ราวห้าโมงเย็น “จุดเทียนหรือเปล่าคับทั่น” ผมโทรหาเพื่อนคนหนึ่งอย่างกระวนกระวาย “จุดดิคับ เริ่มหกโมงฯ แล้วมาตอนนี้ทำไม” มันว่าเข้าให้นั่น เป็นอันว่า คงต้องรออีกสักพัก กว่ากลุ่มของพวกเขาจะเดินทางมาถึง ผมเริ่มเดินสำรวจรอบๆ บริเวณศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแห่งชาติแห่งแรกของเมืองไทย จริงๆ มันมีศูนย์ศิลปะอื่นๆ อยู่บ้างในต่างจังหวัดแต่มันคงดูไม่หรูหราใหญ่โตอลังการเท่าศูนย์นี้ ความใหญ่โตของมันทำให้ผมงกๆ เงิ่นๆ เดินเข้าไปในศูนย์เพื่อฆ่าเวลา เจ้าหน้าที่เกร่เข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้ม “ให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตรวจกระเป๋า นิดนึงนะครับ” เขาบอกกับผมอย่างสุภาพ ซิปกระเป๋ากล้องถูกเปิด พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แดดเปรี้ยงผ่าลงตรงหัวพอดี ขณะที่ช่างภาพนับ 10 คน ดุ่ยๆ เข้าไปในอาคารเรียนแห่งนั้น โถงอาคารเอนกประสงค์โล่งๆ เหมาะจะเป็นสนามบาสฯ มากกว่าห้องเรียนถูกจัดแบ่งเป็น 2 ตอน ด้วยตู้ไม้ผุๆ ทางด้านหน้าเป็นชั้นเด็กโตและทางด้านหลังเป็นชั้นเด็กเล็กที่ไม่ควรจะเกิน 10 ขวบ โรงเรียนวัดสุทธารามหรือโรงเรียนวัดกำพร้า เป็นหนึ่งในหลายๆ โรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครที่รับเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติมาเรียนหนังสือ วิชาที่สอน เน้นพูด อ่านและเขียนภาษาไทย ,เมื่อเค้าต้องอยู่ร่วมกับเราอย่างไม่อาจจะปฏิเสธ กล่าวกันทีเล่นทีจริงว่า หากหญิงสาวชาวพม่าไม่ทาแป้งทานาคาและชายหนุ่มชาวพม่านุ่งกางเกงยีนส์ไปเคาน์ ดาวน์ ที่ เซ็นทรัล…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
“ปากน้ำระนองเลยพี่” เลิศ หนุ่มน้อยหุ่นทรงกระบอกแนะนำ “เหรอ ไกลมะ” ผมถาม “ไม่เท่าไร รับรองสวย พี่” ปากน้ำระนอง ห่างจากตัวเมืองราวขับรถ 10 นาที บนถนนเลียบเนินจะมองเห็นตัวเมืองระนองกลางขุนเขาโอบล้อมอย่างชัดเจนระนองเป็นเมืองชายแดนพม่าฝั่งทะเลอันดามัน ร้อนและชื้น จนได้ชื่อว่า เมืองฝน 8 แดด 4 (อันที่จริง เมืองชายฝั่งทะเลภาคใต้ก็ฝน 8 แดด 4 กันแทบทั้งนั้น) ฝนตกชุก ทั้งหนักและพรำๆ ในช่วงที่ผมอยู่ที่นั่น ระนองติดกับประเทศพม่าบริเวณเมืองทวายโดยมีเกาะสองกั้นเป็นพรมแดนธรรมชาติและชายฝั่งที่ทอดยาวจรด จ.พังงา เดินทางไม่ยากเพราะมีบริษัททัวร์บริษัทเดียวที่ให้บริการ 2 รอบ คือ เช้าและบ่าย
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ความน่าสนใจของท้องฟ้าก่อนพายุจะมาหรือสตอม เซอจ ที่ คุณดินยา ได้เขียนเป็นข้อมูลเอาไว้ เร้าให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะบันทึกภาพ ท้องฟ้าก่อนพายุจะมา ภาพเหล่านี้ถ่ายระหว่างวันที่ 25-30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ขณะที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องคลื่นพายุซัดฝั่ง บริเวณอ่าวไทยเมืองแม่กลอง ... ... จู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมืดครึ้ม กลุ่มเมฆก่อตัวอย่างฉับพลันกลืนแสงอาทิตย์ มองดูแล้วพูดไม่ถูกว่ามีความรู้สึกอย่างไร สีสันของเมฆเขียวครามแต้มอากาศสีเทา ฝนตั้งเค้าในที่ไกลๆ ท้องฟ้า ...ท่าจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
จบแล้วครับ .. เล่นง่ายแบบนี้เชียวเร๊อะ!! Ha Ha ... มีคำกล่าวง่ายๆ ว่า ทุกครั้งในการเดินทาง จงยิ้ม พึ่งพาสมองและสองเท้าแล้วค้นหา ...คุณจะพบว่า โรงแรมราคาดีแต่สะอาด รอคุณอยู่สุดซอย ...เสมอ เราบินออกจากฮานอยด้วยสายการบินโลว์คอส แอร์ เครื่องบินดีเลย์นิดหน่อย อย่างไม่ดัดจริต ผมคิดถึงส้มตำหอยดอง ปูปลาร้า ปากซอย
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ฮานอยเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคเหนือของเวียดนาม สถานที่ที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีไม่เป็นรองเมืองอื่นๆ (ยกเว้นตอนนี้เวียดนามเจอภาวะเงินเฟ้อ) กับความรุ่งเรืองแห่งอดีตอดีตแห่งภูมิภาคหนึ่งของจีนที่ได้ชื่อว่า อันนัมประกอบไปด้วย การจราจรอันคับคั่ง(จริงๆ ก็คับคั่งทุกเมืองใหญ่แหละ)ย่านโอลด์ ทาวน์ ทะเลสาบคืนดาบ บาร์เกย์และดนตรีแนวแทรนส์เราเจอฟั้งกี้ มั้งกี้ ณ หัวมุมถนนย่านใจกลางเมือง หลังจากที่เดินตามหามาตั้งแต่หัวค่ำ ในอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ไกด์คนเก่งจากเกาะกั๊ตบาแนะนำให้เรามาย่านนี้ เหตุผลหนึ่งเพราะเป็นย่านบาร์เกย์ที่คนในเพศที่ 3 สามารถจะแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่…