จะจุดเทียน เขียนรุ้ง กลางทุ่งหญ้า
จะสุมไฟ ใต้ฟ้า ท้าความหนาว
จะไกวเปล เหล่ดารา พาพร่างพราว
จะไล่เรียง เสียงสายราว ดาวดนตรี
จะเพ่งพราย ปลายเปลวเพลิง ระเริงฝัน
จะผิงไฟ ใต้แสงจันทร์ หยันแสงสี
จะสดับ จับความงาม ยามราตรี
จะสูดลม ชมกลิ่นที่ มีเชื้อธรรม
จะรับรส หยดน้ำค้าง ข้างแผ่นหิน
จะคลุกคลี ธุลีดิน สิ้นคืนค่ำ
จะเรียงร้อย รอยเรื่องร้าว ราวร่ายรำ
จะจดจำ จดจารเผื่อ เจือจานใจ
จะเอนนอน หมอนมุ้ง ไม่ยุ่งยาก
จะทักทาก หากหิ่งห้อย ร้อยแสงใส
จะลืมตา หาสวรรค์ พรรณาไพร
จะเฝ้ารอ แสงทอใหม่ จากสายตะวัน
เมื่อนั่งลง ตรงที่ มีความหมาย
เมื่อก่อไฟ ด้วยเศษไม้ ประกายฝัน
เมื่อนอนเปล ปิดเปลือกตา ฟังเสียงจันทร์
เมื่อขับกล่อม ข้ามคืนวัน ด้วยเสียงเพลง
ใจที่อาจ เหนื่อยล้า เพราะหน้าที่
ใจดวงนี้ ถูกสังคม ซ้ำข่มเหง
ใจอาจลอย ล่องหลุด จากใจเอง
ใจของคน เคยคว้างเคว้ง เป็นธรรมดา
แม้เงื่อนปม ที่รอไข ไร้จุดหมาย
แม้หมดแรง แห่งใจกาย ไล่ตามหา
แม้ผิดหวัง พลั้งพลาด ต้องศาตรา
แม้ความเชื่อ อันอ่อนล้า พาพร่าเลือน
ธรรมชาติ จะกล่อมเกลา บรรเทาจิต
ธรรมดา แห่งชีวิต มิตรมากเหมือน
ธรรมบท ชดเชยกรรม คอยย้ำเตือน
ธรรมะเยือน ใจคน จะพ้นกัน
จะบรรเลง บทเพลง ปลุกชีวิต
จะก่อไฟ ก่อความคิด ก่อแรงฝัน
จะไกวเปล เร่รับแรง แห่งแสงจันทร์
จะลุกยืน เมื่อฟ้าผัน ตะวันมา
*หมายเหตุ* แด่ ความฝัน อันประกอบด้วย เปล-กีต้าร์-กองไฟ ที่ดูไม่ใกล้จะมาถึง แม้เหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่ยังเชื่อมั่นพอก็จึงค่อยๅ เดินไป