Skip to main content

ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว บ้านใกล้เรือนเคียงของเราจึงได้หงอยเหงาว่างไร้ทั้งคนซื้อหรือเยี่ยมกรายเข้าไปชมถึงเพียงนี้

ถึงจะไม่มีผู้คนเข้าไปเยี่ยมเยียนหรือเลือกซื้อสินค้าในร้านจากลาวร้านนี้ก็ตาม แต่ผลิตภัณฑ์จำนวนมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นผ้าฝ้ายทอมือต่างขนาดสีสันและลวดลายกลับมีความสวยงามต้องตาต้องใจอยู่ไม่น้อย เรารับรู้ได้ทันทีถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความพิเศษที่มีอยู่ในลักษณะการทอและการตัดเย็บแปรรูปให้ออกมาเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของข้าวของเหล่านี้

20080201 ความทรงจำเกี่ยวกับผ้าละหา 2549 (1) 

แต่ถึงจะชื่นชอบและอยากจะซื้อหาก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อชายคนหนึ่งที่อยู่ประจำร้านข้างๆ เดินเข้ามาบอกว่าคนขายที่ร้านนี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยกลับไปก่อน แต่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาปิดงานเลยต้องเปิดร้านเอาไว้ก่อน และบอกให้เลือกดูตามสบายแต่คงขายให้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรราคาเท่าไหร่ เมื่อไม่มีโอกาสจะเป็นเจ้าของผ้าชิ้นที่หมายตาเอาไว้ สิ่งที่ทำได้จึงเพียงแต่จดจำและเรียนรู้ว่าผ้าทอเหล่านี้เป็นฝีมือของใครมาจากที่ใด...ในประเทศลาว

นั่นเป็นปฐมบทที่ทำให้ได้รู้จักและจดจำ ‘ผ้าละหา’ ได้ จากการพบปะกันหนแรกที่กรุงเทพฯ...

หลวงพระบาง 2549

ปลายปี 2549 เมื่อลมหนาวพัดโชยและอากาศก็หนาวเย็นสมดังที่กำลังเดินทางกลางฤดูหนาวในดินแดนที่อุดมด้วยภูเขาของภาคเหนือของลาว แต่ถึงกระนั้นแดดก็แผดสีจนบ้านเมืองผู้คนริมฝั่งโขงแห่งนี้ต้องแสงสว่างดูน่าสนใจไปทั่ว

หลวงพระบาง จุดหมายปลายทางของคนไทยหลายคนตระหง่านและตระการตารอคอยอยู่ในฐานะเมืองเก่าอย่างเมืองเชียงทองซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างแม่น้ำโขงและน้ำน้ำคานสายเล็กๆในอดีตเมืองแห่งนี้มีเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ แต่ปัจจุบันพระราชวังเดิมได้กลายมาเป็น “พิพิดทะพันแห่งซาด” หลวงพระบาง ที่บางคนอาจจะคุ้นเคยสายตาจากภาพต้นตาลสูงลิ่วนำสายตาไปสู่ตัวอาคารพระราชวังสีขาวในแนวระนาบ

อาจจะด้วยโชคชะตาต้องตรงกันก็ว่าได้ ยามสายวันหนึ่งที่เราออกไปเดินแถวกลางเมืองย่านถนนคนจีน ใกล้ทางขึ้นยอดพูสีและฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเคยเป็นวังเก่านั่นเอง เราได้พบร้านค้าบนอาคารเก่าสไตล์ฝรั่งยุคโคโลเนียล ซึ่งวางตัวอยู่ข้างๆ ทางขึ้นพระธาตุพูสีที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านนั่นเอง ซึ่งที่นั่นก็คือที่ตั้งของร้านผ้าฝ้าย “ละหา” ที่เราประทับใจและอยากจะซื้อผ้ามาแต่คราวได้เห็นตัวอย่างงานที่กรุงเทพฯ

20080201 ร้านละหาที่เคยเป็นวังนอกมาก่อน หลวงพระบาง
ร้านละหาที่เคยเป็นวังนอกมาก่อน หลวงพระบาง

 

ในสัมผัสนั้นเรารับรู้อีกครั้งว่า “ละหา” ไม่ใช่ผ้าทอมือธรรมดาๆ แต่เป็นระดับสินค้าแบรนด์เนมส่วนหนึ่งของลาว อันเนื่องมาจากการเลือกเปิดร้านขึ้นบริเวณนี้ในลักษณะเป็นร้านค้าเดี่ยวๆ บนอาคารเก่าแก่สวยงาม ลักษณะจัดร้านที่เปิดให้คนเข้าไปชมได้ทั้งชั้นล่างและชั้นบน และตัวผลิตภัณฑ์ที่แม้จะเป็นผ้าฝ้ายแต่ก็สื่อได้อย่างเป็นสากล

ในวันนั้นคนขายประจำร้านที่เป็นชายหนุ่มบอกว่ากำลังมีการลดราคา 20 เปอร์เซ็นต์เป็นคริสต์มาสเซลล์ก็ว่าได้ ทำให้ได้เป็นเจ้าของผ้าฝ้ายละหาอย่างสมใจเอาที่เมืองหลวงพระบางนี่เอง

จากเวียงจันทน์ถึง ‘ละหา’ 2549

หลังการเดินทางในแดนเหนือหลายวันในลาวก็ได้เวลากลับเข้าสู่เวียงจันทน์ นครหลวงโบราณและยังคงเสน่ห์ของความเล็กๆ น่ารักอีกแห่งหนึ่งของอินโดจีน

ยามนั้นที่เวียงจันทน์มีลมหนาวพัดโชยและลมเย็นอย่างที่ฤดูหนาวควรจะเป็นอยู่รายรอบ...

อย่างไม่ตั้งใจอีกครั้งครา จากการเดินเล่นไปรอบๆ บริเวณกลางเมืองเพื่อหาอะไรรับประทานและซื้อหาข้าวของก่อนเดินทางกลับสู่ไทยในเย็นวันเดียวกัน ก็บังเอิญได้พบเข้ากับร้านละหาสาขาเวียงจันทน์เข้าอีกครั้งหนึ่ง

20080201 ร้านละหา เวียงจันทน์
ร้านละหา เวียงจันทน์

คราวนี้บรรยากาศดูแตกต่างไป ร้านผ้าฝ้ายทอมือละหาที่ลาวเป็นเพียงห้องเสื้อที่เปิดอยู่ในอาคารห้องแถวธรรมดาๆ มีการตกแต่งสไตล์ธรรมชาติหรือคันทรี่เพื่อสื่อถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ แต่ก็เรียกได้ว่าเน้นการโชว์ให้เห็นเสื้อผ้าและสินค้าในห้องห้องหนึ่ง

ระหว่างที่การเลือกดูข้าวของในร้านอยู่นั้นก็มีสตรีวัยกลางคนแต่งกายเรียบง่าย แต่น้ำเสียงและท่าทีที่พูดกับคนในร้านที่ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่คล้ายกับจะเป็นหัวหน้าหรือเจ้าของของที่นี่อยู่ในที แล้วทันใดนั้นจากภาพที่ประดับตกแต่งไว้ตามข้างฝาผนังในร้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพตอนที่ได้รับรางวัลหรือการยกย่องเกียรติคุณจากรัฐบาลลาวและหน่วยงานด้านการพัฒนาระดับชาติต่างๆ และมีภาพตอนเข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ของไทยคราวเสด็จเยือนลาวด้วย ทำให้จดจำได้ว่าหญิงในภาพน่าจะเป็นหญิงผู้นี้ซึ่งเป็นเจ้าของผ้าละหาด้วย

ถัดมาคือวาระแห่งการทักทาย ทำความรู้จักและสนทนาแลกเปลี่ยนถึงที่มาและแนวคิดในการทอผ้าฝ้ายทอมือและแปรรูปออกมาได้อย่างสวยงามและมีความเป็นสากลกับ นางสงบันดิด ยดมั่นคง (Madam Songbandith Nhotmankhong) ในร้านละหาที่เวียงจันทน์

20080201 นางสงบันดิด ยดมั่นคง (1)

 

20080201 นางสงบันดิด ยดมั่นคง (2)
นางสงบันดิด ยดมั่นคง


“ละหามาจากชื่อของหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดในแขวงสะหวันนะเขตทางใต้ของลาว เริ่มทำเสื้อผ้าหรืองานด้านการ์เมนต์ส่งออกสิ่งทอเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มีประสบการณ์ด้านการตัดเย็บและส่งออก จากการที่ทำการ์เมนต์มาเห็นแนวโน้มที่ไม่ดี คิดได้ว่าหากไม่ทำสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองออกมาคงจะไปไม่รอดแน่ๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะมาฟื้นของเก่า ตั้งแต่สมัยยายหรือแม่ที่เคยเห็นว่าทอผ้าและตัวเองก็ทอเป็นผูกลายให้สีเป็น เลยคิดว่าเราน่าจะเอาจุดนี้มาทำ

โชคดีว่าทำตัวอย่างแรกของผ้าทอออกมาชุดหนึ่งส่งไปให้ญี่ปุ่นดูก็ได้รับความสนใจมากและมีการสั่งออเดอร์มาเลย แต่เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์พอ ได้ออเดอร์แต่ก็ไม่มีวัตถุดิบ เลยต้องใช้วิธีการไปซื้อฝ้ายและซื้อผ้ามาจากชาวบ้านเพื่อเอามาทำให้ทันที่เขาสั่ง

ตอนนี้ละหาส่งออกผ้าไปขายให้บริษัทญี่ปุ่นเป็นหลักมีทั้งหมด 15 บริษัทเพื่อให้มีรายได้จ่ายให้กับลูกน้องในสามหมู่บ้านและต้องมีค่าใช้จ่ายนับหมื่นดอลลาร์ต่อเดือน การทำงานกับชาวบ้านก็จะมีปัญหาเรื่องวินัยเราจะต้องดุคนเป็นหรือจะต้องคุมเข้มได้ แต่โชคดีว่าที่บ้านสมัยปู่และพ่อเป็นคนที่มีบารมีที่ชาวบ้านนับถือ ทำให้ชาวบ้านเชื่อถือ เชื่อฟังและตั้งใจทำงานให้

จากการยอมรับนับถือที่ชาวบ้านมีให้ในจุดแรก เราก็จะต้องใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มี พอดีว่าเราเป็นคนที่มีความรู้ได้เรียนหนังสือมาทางด้านจิตวิยาเยาวชนที่รัสเซียก็เลยเอาความรู้จุดนี้มาช่วยในการทำงานทำให้ทำงานด้านความคิดกับชาวบ้านได้และเราถือว่าเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านที่เราทำงานด้วยและเราต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นด้วย อย่างการจ่ายเงินให้ชาวบ้านก็ต้องจ่ายให้ตรงเวลาและให้รายได้ที่ดี

พี่กับสามีช่วยกันออกแบบลายผ้า จนทุกวันนี้เราสามารถออกแบบลายออกมาเป็นผืนผ้าได้ด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะสามีเรียนมาทางด้านวิศวกรรมมาจากเยอรมัน แม้ว่าเราจะทำงานกับชาวบ้านหรือใช้การย้อมสีด้วยธรรมชาติทั้งหมดก็ตาม แต่การควบคุมเรื่องการใช้สีและการย้อมสีเราจะต้องเป็นคนทำเอง เพราะถ้าให้คนอื่นทำก็ได้ออกมาไม่เหมือนเราทำเอง ตอนนี้เราสามารถย้อมสีจากธรรมชาติออกมาได้ถึง 62 สีและแต่ละปีก็จะมีการคิดสีใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ

พี่เป็นคนที่ชอบทำงานและชอบคิดลายใหม่ๆ อย่างตอนนั่งรถไกลๆ ไม่จะเป็นจากสะหวันนะเขตมาเวียงจันทน์ก็ไม่เบื่อเพราะได้ใช้เวลาคิด เกิดความคิดอะไรก็จะเอามาขีดๆ เขียนๆ เก็บไว้”
นางสงบันดิดเล่าทั้งความเป็นมาและการทำงานให้ฟังอย่างละเอียด

"พี่เคยทอผ้าถวายให้กับสมเด็จพระเทพฯ ด้วยเมื่อตอนที่เสด็จเปิดสะพานมิตรภาพที่สะหวันนะเขต โดยทอเป็นลายนาคไต่ขัวบัวพันชั้น ซึ่งเป็นลายผ้าโบราณของลาวที่ทอยากมากและมีความสวยงามมากและพระองค์ก็ทรงโปรดมาก”

คืนนั้นระหว่างโดยสารบนรถไฟตู้นอนจากหนองคายกลับเข้ามากรุงเทพฯ แม้อากาศจะเย็นแต่เราก็รู้สึกอบอุ่นเมื่อควักเอาผ้าห่มละหาที่มีสีสันเป็นเอกลักษณ์ขนาดย่อมๆ ที่ตัดสินใจซื้อมา (ด้วยสนนราคาที่หากคิดว่าแค่ผ้าฝ้ายทอมือราคาเท่านี้แล้วย่อมขัดแย้งกันอยู่มาก) เมื่อตอนกลางวันขึ้นมาห่มอย่างสุขใจ

ป.ล. ในปี 2551 ถ้าใครได้บังเอิญเดินทางผ่านไปสะหวันนะเขต ฝากเยี่ยมพี่ท่านนี้ด้วย

ที่อยู่ของโรงงานผ้าละหา:
Thong Laha Sinh
248 Factory: P.O.Box 157
Savannakhet Province, Lao PDR
Tel:(856) 41-212-398
Fax:(856) 41-212-316

เว็บไซต์ของผ้าละหา www.lahasinh.com
Email : lahasinh@hotmail.com

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…