Skip to main content

เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว


ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า


เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ

เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา

เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป นักท่องเที่ยวจึงมาถึงแค่บ้านห้วยปูแกงเก่าแล้วก็ขึ้นเรือกลับ ตรอกแห่งนี้จึงไม่มีความหมายกลายเป็นทางเดินของวัวและควาย” ฉันอธิบายต่อ


แล้วเจ้าหลุมยักษ์ที่กว้างเท่าสนามฟุตบอลนี่ล่ะ” ต๋อมชี้มือไปในสิ่งที่น่าสงสัย มันตั้งเด่นอยู่หน้าหมู่บ้าน กินเนื้อที่เท่าสนามฟุตบอล

คิดว่าทางการคงตั้งใจจะทำบ่อปลา แต่ทว่ามันไม่มีน้ำ ก็เลยเหมือนหลุมอะไรสักอย่าง”

แล้วเขาเอารถแทร๊กเตอร์เข้ามาได้อย่างไร” แอคยังคงซักต่อ

ก็แทร๊กแตอร์ที่พ่อแม่ให้มายังไงล่ะ” พี่ชายสามีพูดพลางยกสองมือชูให้ผู้สงสัยดู ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทว่าแววตาที่ฉายความขมขื่นกลับปกปิดไว้ไม่มิด


ทุกคนนิ่งอึ้ง ไม่มีคำถามใดหลุดออกมาอีก เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะถามถึงสิ่งที่เคยลงแรง ดูเหมือนจะมากมายและกินเวลาที่จะพูดถึง


มันไม่มีแค่ถนน หรือบ่อปลาแห่งนั้น มันยังมีรั้วที่ยาวเป็นกิโลนั่น มีเวที มีศาลา มีสะพาน มีฯลฯ ซึ่งกำลังเก่าผุพังไปตามกาลเวลา และถูกลืมเลือนไปในที่สุด


ไม่นานเราก็เจอกับฝูงชีวิต เราได้ยินเสียงเด็กๆ ท่องอาขยานอยู่ในโรงเรียนท้ายหมู่บ้าน ร้านรวงแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ถนนหลักกลางหมู่บ้าน


ที่นี่ไม่ต่างจากบ้านห้วยเสือเฒ่า หญิงกระยันใส่ห่วงสีทองยังคงนั่งหย่อนใจอยู่หลังร้านขายของ บ้างก็แย่ยันอยู่กับกี่ทอผ้า


บางคนที่ยังจดจำฉันกับสามีได้ ทักทายเชื้อเชิญให้ขึ้นมานั่งบนเรือน โค้กและเบียร์ถูกนำมาเสิร์ฟแขกต่างบ้านด้วยความเกรงใจของผู้รับ


นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นมาจากท่าเรือหน้าหมู่บ้านอย่างไม่ขาดสาย ได้ยินเสียงเรือเครื่องยนต์จากเครื่องปั่นไฟ แหวกน้ำมากับนักท่องเที่ยวราว 5-8 คนต่อลำ บางวันมีเรือมาเทียบท่านับสิบๆ เที่ยว


ทุกลำต่างเหมาจ่ายค่าเรือ ค่าตั๋วเข้าชมมาตั้งแต่ท่าเรือบ้านห้วยเดื่อ


ชาวบ้านที่นี่ยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวสม่ำเสมอ ถูกแบ่งจากนายทุนใหญ่ผู้กำชะตากรรมทั้งหมดของผู้คนในหมู่บ้าน


พวกเราต่างแยกย้ายกันสำรวจหมู่บ้าน แดน, วาซามิและแอคซื้อขนมห่อใหญ่ มุ่งไปทางโรงเรียนหวังกดเก็บภาพเด็กๆให้เต็มอิ่ม


ต๋อมและตรีนั่งหอบเหนื่อยอยู่ในศาลาหน้าหมู่บ้าน พวกเรารองท้องด้วยก๋วยเตี๋ยว และไข่ปิ้งคนละสองสามฟอง

ถ้าล่องเรือลงไปอีกจะเจอหมู่บ้านอีกไหม” ใครคนหนึ่งตั้งคำถามเมื่อเราพร้อมหน้ากับที่ศาลาอีกครั้ง

ล่องไปสุดที่ด่านบ้านน้ำเพียงดินนู่นล่ะ” มีเสียงตอบจากหญิงแม่ค้า เธอสำทับอีกว่า ถ้าจะไปก็นั่งเรือไปได้ สามีของเธอมีเรือให้เช่า


แล้วเราทั้งเจ็ดคนก็พร้อมที่จะลงเรือลำเดียวกัน ด้วยข้อกังขาเดียวกันว่าด่านหน้าตาเป็นอย่างไร และการได้ล่องเรือไปในแม่น้ำปายก็เป็นประสบการณ์ที่หลายคนยังไม่เคยสัมผัส


เรือลำเล็กดูเหมือนจะแบกน้ำหนักเต็มพิกัด เรือจมลงจนขอบเรืออยู่ปริ่มน้ำ หลายคนนั่งตัวเกร็ง แต่เรือก็ยังทรงตัวได้ดี เพราะล่องไปตามกระแสน้ำ ที่ไหลไปสู่ทิศตะวันตกของเขตชายแดนแม่ฮ่องสอน



ทิวทัศน์ด้านหน้ามองเห็นฟ้ากว้าง ตัดกับภูเขารูปสามเหลี่ยมที่พ้นออกมาตามขอบโค้งน้ำ แม่น้ำปายยามนี้ใสราวกระจก มองผ่านเลนส์เห็นสายน้ำสะท้อนสีฟ้าจากท้องฟ้า


วาซามินั่งอยู่หัวเรือราวแม่ย่านาง ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องนั่งสลับไปมาเพื่อถ่วงความสมดุลของเรือ คนขับเรือเงียบหายไปกับเครื่องยนต์ที่กลบเสียงทุกอย่างรอบตัว


เส้นทางสายน้ำที่ครั้งหนึ่ง ชาวบ้านห้วยปูแกงได้ล่องเรือทวนกระแสน้ำขึ้นมาตั้งหลักแหล่งในเขตไทย แม้ยังคงมีผู้คนจากฝั่งโน้นลักลอบทวนกระแสน้ำขึ้นมาเพื่อหนีตาย แต่ปัจจุบันมักถูกฝ่ายไทยส่งกลับเขตพม่า


ราวสิบห้านาทีเรือก็มาถึงจุดมุ่งหมาย เรามองเห็นสะพานเหล็กเป็นอันดับแรก มันเป็นสะพานแขวนที่สร้างเสร็จสดร้อนๆ ราวปี 2548


ฉันกับสามีเดินข้ามสะพานแขวนมาอีกฝั่ง เราเห็นคนงานสองสามคน ทิ้งงานทำถนนพักทานข้าวกลางวัน




ถนนจากเมืองแม่ฮ่องสอนที่สร้างคู่ขนานมากับแม่น้ำปาย มาสุดที่ปลายสะพานแขวน มันถูกใช้นับครั้งได้จากหน่วยราชการที่นานๆ จะเข้ามาในพื้นที่


ฉันกับสามีคิดเหมือนกันว่า สะพานแห่งนี้ช่างอยู่ผิดที่ผิดทาง หากมันเชื่อมถนนเข้ากับหมู่บ้านห้วยปูแกงคงจะมีประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะชาวบ้านที่นั่นคงไม่ต้องเสียค่าเรือข้ามฟาก และเสียเวลาคอยเรือกันเป็นชั่วโมง

ด่านมีหน้าตาคล้ายสถานีตำรวจเล็กๆ แต่มองไม่เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่สักกี่คน อาจจะกำลังไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลยก็ได้เมื่อสถานการณ์ยังอยู่ในช่วงสงบ


เราเห็นเพียงตำรวจตะเวนชายแดนหนึ่งนายที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบ ชักชวนให้ขึ้นเขาไปดูถ้ำเก่าแก่แนวป่าด้านหลัง และหากขึ้นไปสุดภูเขาก็จะเห็นค่ายทหารของดาวแดงอยู่ไกลๆ


เราล่องเรือลงไปอีกได้ไหมครับ” แดนผู้ต้องการเก็บภาพหายากเอ่ยถามหวังจะได้ดูค่ายทหารใกล้กว่าที่เห็น

แต่ก่อนเคยล่องเรือลงไป อีกสักสิบห้านาทีจะถึงท่าเรือของพม่า แต่ตอนนี้เขาไม่อนุญาต” คนเรือบอกแก่เรา ซึ่งเมื่อเราถามกับนายตำรวจดังกล่าวก็ได้รับคำตอบเดียวกัน แถมขู่สำทับว่าอาจจะเจอการสู้รบและตกเป็นเป้าโดยไม่รู้ตัว


พวกเราไม่ได้ขึ้นไปสุดภูเขา แดนตกลงว่าน่าจะเดินลัดป่าย้อนกลับไปหมู่บ้านน้ำเพียงดิน ที่เราล่องเรือผ่านมา เพื่อจะได้กดภาพหมู่บ้านกลางป่าใหญ่และเด็กๆในโรงเรียน


เส้นทางเล็กๆ ขนานชิดไปกับลำน้ำใช้เวลาเดินนานพอสมควร ต๋อมบ่นว่าแรงก๊อกสุดท้ายกำลังจะหมด และไม่อยากนึกถึงขากลับบ้านห้วยเสือเฒ่า แต่เมื่อเราไปถึงกลับพบหมู่บ้านที่เงียบกริบ


ฉันได้รับคำตอบจากหญิงชาวบ้านว่า ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะอยู่ในไร่หรือไม่ก็ไปหาของป่า ที่โรงเรียนมีครูกำลังทำการเรียนการสอน เราจึงทำได้เพียงชะเง้อดูเด็กๆ อยู่ข้างขอบสนาม หมู่บ้านที่ดูจะไม่ชินกับการรับแขกต่างถิ่นนัก ทำให้พวกเรารีบลากลับด้วยความผิดหวังเล็กๆ


เรือพาเรากลับถึงหมู่บ้านห้วยปูแกงโดยสวัสดิภาพ แม้บางคุ้งน้ำที่มีความคดเคี้ยวเชี่ยวกราก ถึงกับทำให้น้ำกระชอกเข้าในลำเรือ จะทำให้รู้หวาดเสียวอยู่บ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ


พวกเราลากลับหมู่บ้านห้วยปูแกงด้วยความรู้สึกเสียดาย และยื้อเวลาจนถึงที่สุด ฉัน สามีและตรีจึงกลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินกลับมาด้วยกัน ในขณะที่กลุ่มใหญ่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว


เส้นทางกลับบ้านห้วยเสือเฒ่าต้องย้อนกลับมาทางเดิม ผ่านตรอกเล็กๆ เข้าสู่หมู่บ้านร้าง เพื่อลัดเข้าสู่เขตป่าและข้ามภูเขาไปอีกสามลูก


มีคนเคยบอกไว้ว่าบางทีเราต้องหนีไปจากความเจ็บปวด ใครคนนั้นอาจจะลืมไปแล้ว แต่ฉันยังคงจำและใช้มันบ้างเมื่อถึงคราวจำเป็น


ฉันมองภาพสุดท้ายของหมู่บ้านในฝันด้วยดวงใจที่ปวดร้าว บันทึกความทรงจำที่เหลืออยู่ จนกว่าจะได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ในเส้นทางกลับบ้านแห่งนี้.



บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…