Skip to main content


  

มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก

ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส

ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว

โตขึ้นฉันจึงมักสวดมนต์ทำสมาธิ เมื่อรู้สึกว่าจิตใจกำลังย่ำแย่กับปัญหา แม้มันไม่ใช่ทางแก้แต่ก็ช่วยให้เราคลายความทุกข์ลงไปได้มากทีเดียว

เมื่อตอนใช้ชีวิตอยู่เมืองใหญ่ ฉันยอมรับว่าห่างไกลวัดวาไปมาก จะมีโอกาสไปวัดก็ต่อเมื่อไปถวายสังฆทานและเวียนเทียนในโอกาสวันสำคัญ ส่วนศีลห้านั้น ฉันยอมรับว่ามีน้อยวันนักที่จะปฏิบัติได้ครบทั้งห้าข้อ

เมื่อมาอยู่หมู่บ้านห่วงสีทอง ฉันพบว่าการประสมประสานศาสนาระหว่างพุทธกับผีเป็นไปอย่างลงตัว บ้านทุกหลังที่นับถือศาสนาที่สอง จะมีหิ้งพระขนาดใหญ่ตั้งอยู่ชิดฝาบ้านด้านใดด้านหนึ่ง

บนหิ้งจะมีพระประธานขนาดใหญ่ ประดับด้วยแจกันดอกไม้สามอัน และเชิงเทียนที่มีสามฐาน ซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมชาวกระยันจึงไม่นิยมจุดธูป แต่จะจุดเทียนเพียงสามเล่มเท่านั้น

ชาวกระยันจะไม่นิยมไปทำบุญที่วัด จะมีเพียงปีละครั้งที่มีงานดับไฟเทียนซึ่งเป็นประเพณีของที่นี่จึงจะแห่ต้นผ้าป่าเข้าวัดทำบุญร่วมกันกับชาวกระเหรี่ยงแดง ที่อาศัยอยู่หมู่บ้านใกล้เคียง

หากวันใดที่มีพระมาบิณฑบาต แม่เฒ่ากระยันก็จะถวายเพียงข้าวสาร หรือไม่ก็เป็นอาหารแห้ง ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากความสะดวกและความเคยชิน

ในขณะที่เด็กหนุ่มในหมู่บ้าน ไม่เคยบวชเณรหรืออุปสมบทเมื่ออายุครบเช่นชาวพุทธทั่วไป จึงไม่มีใครที่จะสามารถสวดมนต์ได้มากไปกว่าบทที่สอนกันในโรงเรียน

ฉันเคยถามสามีว่า เคยคิดอยากจะไปบวชเป็นพระเณรที่วัดกับเขาบ้างไหม ในเมื่อคิดว่าตัวเองก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง สามีตอบฉันว่า มันขึ้นอยู่กับโอกาส ที่ผ่านมายังไม่เคยมีชาวกระยันที่มาอาศัยในประเทศไทยได้บวชในวัดไทยสักครั้ง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องทำยังไง

ฉันคิดว่าพิธีกรรมคงขึ้นอยู่กับสังคมเป็นตัวกำหนด ชาวกระยันจะจุดเทียนสามเล่มทุกเช้าเมื่อฟ้าสาง และทุกเย็นเมื่อตะวันลับฟ้า แม้จะไม่ท่องบทสวดใดๆ แต่ก็มีศรัทธายิ่งต่อพุทธเจ้าจึงกราบไหว้บูชาด้วยเทียนสามเล่มเป็นประจำ

เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา เราสามคนพ่อแม่ลูก เตรียมดอกไม้ธูปเทียนเพื่อไปเวียนเทียนที่วัดใกล้บ้าน เรากะเวลาสักประมาณหนึ่งทุ่มตรงซึ่งเป็นเวลาปกติที่พระทำวัดเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สามีฉันค่อนข้างตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ไปเวียนเทียนที่วัด ถึงขั้นสะอึกไม่หยุด ในขณะที่เจ้าลูกชายตัวเล็กก็ตื่นเต้นไม่แพ้กับครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน

แต่เมื่อเราไปถึงวัด ฉันค่อนข้างแปลกใจที่บริเวณวัดไม่ได้เปิดไฟฟ้าสว่างไสว และไม่พบใครสักคนมาเวียนเทียนอย่างที่ฉันคาดเอาไว้ มีเพียงไฟประดับยอดพระเจดีย์ ที่เปิดเป็นประจำทุกวันพระเท่านั้น เรามองหาพระเณรไม่พบแม้แต่องค์เดียว

สามีทำท่าถอดใจ ถามว่าเขาเวียนกันวันนี้แน่หรือ แล้วทันใดนั้นเราก็เห็นคนพ่อเฒ่าคนหนึ่งเดินลงมาจากกุฏิ พูดภาษาไทยใหญ่ที่เราพอจะเข้าใจเลาๆว่า เจ้าอาวาสไม่อยู่ อยู่เพียงพระลูกวัดรูปหนึ่งบนศาลา

ฉันเข้าใจว่าพ่อเฒ่าคงจะอาศัยอยู่ในวัดคอยดูแลกุฏิและบริเวณวัดที่กว้างขวาง ซึ่งมีพระประจำอยู่ที่วัดเพียงแค่ 2 รูป ในวันนั้นเราจึงไม่ได้เวียนเทียนแต่เปลี่ยนเป็นสักการะพระธาตุแทน

เมื่อเรากลับถึงบ้าน สามีฉันหายสะอึกเป็นปลิดทิ้ง แล้วเริ่มพิธีกรรมทางผีด้วยการจุดเทียนไว้ตามมุมบ้านและหว่านข้าวสารไปทั่วบ้าน จากนั้นก็ไปจุดเทียนสามเล่มบนหิ้งพระ ส่วนฉันก็ไปจุดธูปเทียนที่ศาลพระภูมิซึ่งปฏิบัติอยู่เป็นประจำ

วันต่อมาฉันจึงเข้าใจว่าชาวไทยใหญ่ซึ่งเป็นศรัทธาส่วนใหญ่ของวัดแห่งนี้ ไม่นิยมเวียนเทียนในวันสำคัญเช่นทำเนียมชาวพุทธทั่วไป แต่จะกวนข้าวยาคูมาทำบุญที่วัดในตอนเช้า แล้วแจกจ่ายข้าวยาคูที่เหลือให้กับเพื่อนบ้านเป็นการทำบุญ

ฉันเองเป็นบ้านหลังสุดท้ายไกลสุด ก็ยังมีโอกาสได้ชิมข้าวยาคูที่ว่า ซึ่งทำจากข้าวเหนียวกวนน้ำกะทิ มีส่วนผสมของน้ำตาล น้ำผึ้ง งาดำ และถั่วลิสง รสชาติหวานกลมกล่อม

ศาสนาพุทธในหมู่บ้านแปลกหน้าคงมีอะไรให้ฉันได้เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อีกมากมาย แม้วิถีวัฒนธรรมจะแตกต่างกันในรูปแบบ แต่ยังดำรงอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาที่เหนียวแน่นต่อพุทธเจ้าองค์เดียวกัน.

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…