Skip to main content

สาละวิน,ลูกรัก

 

สิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ในชีวิตอีกบทหนึ่งก็คือ เมื่อมีพบก็ต้องมีการลาจาก และบางครั้งลูกก็อาจจะต้องเจอกับการพลัดพลาดจากบางสิ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


เมื่อก่อนแม่ชอบที่จะเดินทาง มันเริ่มขึ้นเมื่อครั้งที่แม่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สี่ เป็นครั้งแรกที่แม่ได้เดินทางด้วยรถไฟ ขบวนรถสายเหนือออกจากเด่นชัยสู่อยุธยา จุดหมายปลายทาง ก่อนที่จะหยุด ณ ชานชาลาหัวลำโพง กรุงเทพฯ ช่างเป็นขบวนรถไฟที่แม่ไม่มีวันลืม


วันนั้นแม่โกหกทางบ้านว่าที่โรงเรียนมีงานประเพณี ต้องมาค้างเสาร์ –อาทิตย์ แท้ที่จริงแม่วางแผนว่าจะเดินทางไปหาแม่ (ยาย) ที่จังหวัดอยุธยา


สามปีแล้วที่เราแม่ลูกไม่ได้พบหน้ากัน ด้วยพ่อกับแม่ของแม่ต้องแยกทางกันเดิน เมื่อแม่รู้ว่าแม่ของแม่อยู่ที่อยุธยา จึงทำให้แม่ตัดสินใจทุบกระปุกที่มีอยู่นำเงินทั้งหมดมาใช้เป็นค่าเดินทาง


ความตื่นเต้นแม้กระทั่งการเดินไปซื้อตั๋ว ณ จุดขายตั๋วครั้งแรก แม่ยังจำได้ไม่ลืม เพราะกลัวว่าจะเป็นที่สังเกต และถูกสารวัตรนักเรียนจับได้ว่าหนีเรียน กลัวมิจฉาชีพจะมาหลอกลวงหากรู้ว่าเราเดินทางเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นแม่กลัวและตื่นเต้นสารพัด


แทบทั้งคืนที่ต้องนั่งมาในรถไฟขบวนอันแสนเชื่องช้า เสียงฉึกฉักของรถไฟมันเต้นไปตามจังหวะหัวใจของแม่ เพราะกลัวว่าถ้าหากเผลอหลับไปอาจจะทำให้แม่เลยสถานีอยุธยา ด้วยความไม่แน่ใจว่าสถานีต่อไปจะเป็นสถานีอะไร แม่จึงต้องเงี่ยหูฟังการประกาศจากเจ้าหน้าที่รถไฟทุกครั้งที่ขบวนรถจอดที่สถานี


และแล้วแม่ก็ถึงจุดหมายในยามเช้าตรู่วันต่อมา แม่เกือบจะจำแม่ของแม่ไม่ได้ เพราะยายของลูกในตอนนั้นดูอ้วนท้วนสดใสกว่าเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะการตัดสินใจเลิกรากับพ่อเป็นสิ่งที่แม่คิดถูกต้อง แต่นั่นก็ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาในความรู้สึกของแม่


แม่ใช้เวลาอยู่กับแม่ที่อยุธยาราวสองวัน ก่อนที่จะขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันกลับจังหวัดแพร่ ยายของลูกมาส่งแม่ที่สถานี ในขณะที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกไปเราโบกมือลาจนลับตากัน


การลาจากครั้งนั้น แม่รู้สึกว่ามันช่างแสนทรมานเป็นการพลัดพรากอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้มาเจอกันอีกเมื่อไร แม่ไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาได้ น้ำตาของแม่พรั่งพรูอาบแก้มลงมาไม่หยุด


แม้ว่าแม่จะเติบโตขึ้นและได้ประสบกับการลาจากมานับครั้งไม่ถ้วน แต่แม่ก็ไม่เคยที่จะชินชากับมันเลยสักครั้ง บางครั้งแม่หลบเลี่ยงที่จะไปส่งใครที่สถานีรถ เพราะเวลาที่เรามองรถเคลื่อนตัวออกจากสถานี เหมือนว่ามันได้พรากดวงใจเราติดล้อตามไปด้วย


สาละวินเองก็คงรู้สึกเช่นนี้ เมื่อไปส่งเพื่อนของแม่ที่แวะมาเยี่ยมเยือนครอบครัวของเรา โดยเฉพาะบางคนที่กลายมาเป็นเพื่อนเล่นของลูก และลูกก็จะติดหนึบเป็นพิเศษ เช่น ลุงตรี หรือลุงเสือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปส่งขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ ลูกก็จะกอดหนึบไม่ยอมให้ขึ้นรถ ร้องไห้โยเยจะตามไปด้วย


แม่ต้องคอยปลอบลูกว่า พวกเขาไปไม่นานหรอกแล้วก็จะกลับมาเยี่ยมพวกเราอีก วันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้นลูกคงได้ขึ้นรถโดยสารคันใหญ่ ที่เคลื่อนตัวบนถนนทางหลวงสู่เมืองที่พวกเขาจากมาตามที่ลูกปรารถนาแน่นอน


ดูเหมือนว่าการได้เดินทางด้วยรถคันใหญ่ไปเมืองเชียงใหม่ ,กรุงเทพฯ ตามที่ลูกได้ยินได้ฟังมาจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของลูกไม่น้อยเลยทีเดียว


ลูกรู้ไหมว่า บ่ายวันหนึ่งหลังจากที่ลูกรบเร้าแม่ว่าจะไปเชียงใหม่สักครั้ง ลูกตัดสินใจถือขวดนมไปทิ้งที่ท่าน้ำหลังบ้าน แล้วบอกว่าจะไม่กินนมแล้ว เมื่อแม่โกหกลูกว่า หากลูกยังกินนมชงจากขวด ลูกจะไม่สามารถขึ้นรถคันใหญ่ไปที่ไหนๆได้


ที่แม่ต้องโกหกลูกเช่นนี้ก็เพราะว่า ลูกถึงวัยที่ควรจะหย่านมจากขวดได้แล้ว และหันมาดื่มนมจากแก้ว แต่เป็นสิ่งที่ยากที่จะให้ลูกเลิกดื่มนมจากขวดโดยทันที แม่จึงต้องอาศัยวิธีนี้คอยชักจูงลูก เพราะแม่รู้ว่าลูกอยากขึ้นรถคันใหญ่ที่เคยไปส่งใครต่อใครกลับบ้านเหลือเกิน


ลูกจึงยอมพลัดพรากจากสิ่งที่ลูกรักและเคยชินมานานกว่าสองปี เพื่อที่จะพบกับการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกก้าวของตัวเอง.


รักลูก
แม่

 

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…