Skip to main content

สาละวิน, ลูกรัก

 

 

นานแล้วที่แม่ไม่ได้หอมกลิ่นดอกเหงื่อ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เราได้ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อติดตั้งน้ำประปาหลวง ทำให้บ้านของเราที่เคยแห้งแล้งกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง


ดอกเหงื่อที่เกิดจากการจับจอบเสียมเพื่อขึ้นแปลงผักและปลูกต้นไม้เล็กๆน้อยๆ ทำให้แม่มีความสุข เจริญอาหาร และอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย


ไม่เพียงแต่แม่เท่านั้น เราทุกชีวิตในบ้านไม่ว่าจะเป็นลูกเอง พ่อของลูก เจ้าโชคและเจ้ากาแฟหมาพันธุ์ทางสองตัวยามเฝ้าบ้าน ไก่อีกนับสิบในเล้า ต้นไม้ใบหญ้า ฯลฯ ล้วนสดชื่นมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด


เมื่อก่อนที่เรายังอยู่บ้านของพือๆ (ยาย) ที่ห้วยเสือเฒ่า แม้ว่าจะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ แต่ด้วยเนื้อที่มีจำกัด บ้านที่หลังคาเบียดเสียดกันอยู่แทบไม่มีอากาศหายใจ


ที่นั่นไม่มีที่ว่างพอที่จะปลูกผักหรือเลี้ยงสิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่สุนัขก็ยังถูกจำกัดที่อยู่ เพราะเสียงเห่าของมันสามารถปลุกคนให้ตื่นได้ทั้งหมู่บ้าน สร้างความรำคาญจนเจ้าโชคต้องถูกระเห็จให้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้


แม้ว่าบ้านหลังนี้จะอยู่ที่ไม่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนนัก แต่ก็ถือว่ากันดารเพราะถนนหน้าบ้านยังเป็นทางลูกรัง โชคยังดีที่เสาไฟฟ้าต้นสุดท้ายจากในเมืองเดินทางมาเกือบถึงหน้าบ้านของเรา พ่อกับแม่ต้องไปหาเสาไม้มาเพิ่มเพื่อดึงไฟฟ้าที่ต่อจากบ้านเราไปถึงมิเตอร์


เมื่อไฟฟ้าหมดปัญหาก็เหลือแต่น้ำ เมื่อสองปีก่อนที่ไฟป่าจะเข้าถึงบ้านท้ายสวนที่อยู่หลังสุดท้ายไม่ห่างจากบ้านเราเท่าไรนัก เราดึงน้ำด้วยการใช้เครื่องปั๊มน้ำจากบ่อที่ขุดลงไปไม่ค่อยลึก น้ำที่ค่อยๆใช้ในหน้าแล้ง ยังพอที่จะประคับประคองไม่ให้เหือดแห้งไปเสียทีเดียว


พอมาถึงปีนี้ น้ำบ่อที่ต้องแบกภาระถึงสองครอบครัว และความแห้งแล้งจากไฟป่าทำให้ต้นไม้ที่ล้มตายจากไฟป่า ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ใต้ดินและคายน้ำซึมเก็บไว้ที่บ่อได้เหมือนเดิม เราจึงไม่เหลือน้ำสักหยดในบ่อที่แห้งขอด


รอบๆ ชุมชนที่เราอยู่ต่างประสบชะตากรรมเดียวกัน ต่างก็ไม่มีน้ำใช้แม้แต่ล้างหน้าในยามเช้า ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาแห้งตาย ไก่ของพ่อที่ยังเป็นลูกเจี๊ยบต้องขาดน้ำล้มตายเกือบหมดคอก เจ้าหมาสองตัวอาศัยสระน้ำอีกแห่งหนึ่งที่ไกลออกไป ประทังชีวิตยามหิวน้ำจัด


เราระเห็จกลับไปอยู่บ้านพือๆได้หลายเดือน โชคยังเข้าข้างที่ต่อมามีคนมาปลูกสร้างหอพักขนาดห้าห้องอยู่ใกล้ๆกับถนนทางเข้าบ้านเรา เขาใช้เงินหลายหมื่นเพื่อติดตั้งน้ำประปาหลวงหรือประปาจังหวัด โดยยอมเสียค่าต่อสายเมนจากผู้ใช้น้ำรายอื่นที่ไกลออกไปหลายสิบเมตร


ทำให้บ้านที่อยู่รอบๆอีกประมาณสิบหลังรวมทั้งบ้านของเราด้วย ลงขันกันเพื่อต่อสายเมนเข้ามาถึงกลางชุมชนที่ขาดน้ำ


แต่กว่าที่จะได้ใช้น้ำเป็นของตัวเองก็ต้องจ่ายไปอีกหลายตังค์ทีเดียว บางหลังยังไม่มีเงินพอที่จะติดตั้งมิเตอร์เป็นของตัวเองก็อาศัยน้ำใจจากเพื่อนบ้านไปก่อน


แม่คิดว่าพวกเราเป็นรุ่นบุกเบิกโดยแท้ เพราะตอนที่แม่มาซื้อที่แปลงนี้ไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน มีเพียงบ้านร้างปลูกห่างๆกันสองสามหลังเท่านั้น จนกระทั่งตอนนี้มีเกือบสิบหลังคาเรือนผู้คนก็เริ่มมีมากขึ้น เราจึงคุ้นเคยกันได้ง่าย แม้ว่าแต่ละคนจะมาจากต่างทิศทางกัน


บ้านของเราวันนี้อากาศปลอดโปร่งเพราะอยู่เกือบหลังสุดท้าย มองไปรอบๆก็มีแต่ชายป่าภูเขา ต้นไม้ใหญ่ แต่แม่ไม่รู้ว่าภาพธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้าจะดำรงอยู่อย่างนั้นอีกนานเพียงใด เพราะที่ดินบางส่วนมีเจ้าของจับจองไว้แล้ว เหลือแต่ว่าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นบ้านของผู้คนอีกเมื่อไร ก็ในเมื่อเมืองมันขยายตัวอยู่ทุกวัน


วันนี้ลูกและเด็กๆเพื่อนบ้าน สามารถวิ่งเล่นหน้าบ้านได้โดยไม่กลัวรถราจะมาเฉี่ยวชน หายใจเข้าได้เต็มปอดโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อสารพิษจากโรงงาน เลี้ยงไก่ได้เต็มทุ่งไม่ต้องกลัวเดือดร้อนเพื่อนบ้าน แม่ก็มีความสุขกับปัจจุบันได้แล้ว


ความสุขของแม่ที่ได้มีมือเท้าที่สัมผัสได้ถึงความอุ่นเย็นของพื้นดิน มีตาได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ที่เพาะปลูก มีเวลาคอยเงี่ยหูฟังเสียงลูกเจี๊ยบคอกแล้วคอกเล่า มีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและงดงาม อยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของชีวิต


เป็นความสุขที่แม่ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริง ยามเช้าได้หอมกลิ่นดอกเหงื่อจากการลงแรงทำสวน ตกบ่ายบ่ายนอนไกวเปลใต้ร่มไม้ เห่กล่อมด้วยเสียงนกป่าร้องเพลง พอตอนเย็นๆหลังโรงเรียนเลิกเห็นลูกและเด็กๆเพื่อนบ้านวิ่งเล่นไล่จับกันเนื้อตัวมอมแมม ก่อนจะได้จะอาบน้ำอย่างฉ่ำชื่น เมื่อโลกใบเล็ก ๆของแม่มีน้ำ.

 

รักลูก

แม่

 

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…