วันเด็กทุกสัญชาติ

20080116 วันเด็กทุกสัญชาติ

ลมหนาว ยังไม่จางหาย....

วันเด็กแห่งชาติเพิ่งจัดเสร็จไปไม่กี่วัน จนถึงวันนี้ วันเด็ก เสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ยังคงมีการจัดมาอย่างสม่ำเสมอทุกๆ ปี นับตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2499 ในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้มอบคติเตือนใจสำหรับเด็กๆ ปีละ 1 คำขวัญ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน

วันเด็กที่ผ่านมา ผมได้ร่วมกิจกรรมที่ศูนย์เพื่อน้องหญิง จ.เชียงราย ภายในงานจัดกิจกรรมในแนวว่า “ข้างหลังภาพ” ทำนองว่า ทำงาน ทำกิจกรรม กันมามากมาย ทั้งเด็ก ผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ วันนี้น่าจะมาดูกันว่าได้ทำอะไรกันมาบ้าง ซึ่งเด็กๆ ก็ได้เตรียมจัดกิจกรรมในบู๊ธของตนเอง มีการเล่นเกม จัดนิทรรศการ การเรียนในเรื่องเอดส์ เพศ สิทธิเด็ก ส่วนผู้สูงอายุก็เตรียมของใช้ในอดีตมาแสดงให้เด็กๆ ดู เช่น เครื่องปั่นฝ้าย ที่จับปลา เป็นต้น

มีผู้ปกครองพาเด็กๆ ตัวเล็กๆ เข้ามาร่วมกิจกรรม มีน้องคนหนึ่งถามผมว่า “วันเด็กมีจัดกี่ที่”

ผมเงียบไปสักพัก แล้วก็บอกว่า “น่าจะมีหลายที่นะครับ”

“แล้วประเทศอื่นมีวันเด็กไหม...” น้องผู้หญิงอีกคนถามผม ผมตอบว่า “ไม่รู้ครับ” เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าประเทศอื่นมีการจัดกิจกรรมวันเด็กแบบเมืองไทยไหม หรือถ้ามีก็คงจะไม่ใช่วันเดียวกัน แต่อาจเป็นวันอื่นๆ ก็ได้

พอนึกถึงเรื่องประเทศอื่น ก็นึกถึงเรื่องชาติขึ้นมา ..... เรื่องชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในชาตินี้ แต่ไม่มีสัญชาติ เป็นคน “ทุกข์” เรื่องสัญชาติ ซึ่งก็คือ เด็กๆ เพื่อนๆ พี่น้องอีกหลายคนที่เกิดบนแผ่นดินไทย แต่ไร้ซึ่งสัญชาติไทย

อย่างงานวันเด็กไร้สัญชาติ ก็ได้มีการจัดมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้ง ก็มีกระแสผลักดันให้ภาครัฐดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องสัญชาติของเด็ก เพราะเด็กๆ หลายที่ที่ไร้สัญชาตินั้น จะขาดหลักประกันในการเข้ารับการศึกษา หรือการบริการสาธารณสุขของรัฐ

ทั้งนี้แม้ว่า ภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการต่างๆ เช่น ในเรื่องสัญชาติ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยลงนามเป็นภาคี เมืองปี 2535 และได้ตั้ง ข้อสงวนไว้ สอง – สาม ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือเรื่อง “สัญชาติ” โดยความคืบหน้าปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอว่า ให้รัฐบาลดำเนินการ ถอนข้อสงวนข้อ 7 เรื่องสถานะบุคคล โดยการแก้ไข พ.ร.บ. สัญชาติ เพื่อไม่ให้เด็กที่เกิดในประเทศไทยของพ่อและแม่ต่างด้าวเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

เรื่อง มาตรา 7 ทวิ ตามพรบ.สัญชาติ พ.ศ. 2535 ได้เปิดโอกาสให้คนที่ไร้สัญชาติสามารถร้องขอสัญชาติไทยต่อกระทรวงมหาดไทยเป็นรายๆ ได้ตามกฎหมาย แต่ก็ยังพบว่ายังมีเด็กไทยบางส่วนที่ประสบปัญหาเรื่องเอกสารการเกิด ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนการเกิดและไม่ได้รับสัญชาติไทยด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ของการที่เด็กๆ ไม่ได้รับสัญชาติ บางส่วนเนื่องจากประชาชนที่ไม่มีสัญชาติไทยไม่รู้กฎหมายและระเบียบขั้นตอนในการดำเนินการแจ้งเกิด หรือไม่เห็นประโยชน์ของการแจ้งเกิด หรืออุปสรรคในการเดินทางก็ตาม แต่สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐบางส่วนไม่อำนวยความสะดวก หรือเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่ เช่น การเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะ หรือเรียกหลักฐานประกอบมากเกินความจำเป็น ฯลฯ ก็ถือว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์เข้าตนบนความเดือดร้อนของผู้อื่น

ทั้งนี้อย่างไรก็ตาม คณะทำงานที่ติดตามเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของประเทศได้มองว่าในเรื่องสิทธิที่จะมีชื่อ สัญชาติ และสถานะบุคคล (identity) นั้นรัฐจะต้องส่งเสริมการประกันให้เด็กที่เป็นคนไร้รัฐ (stateless) มีสิทธิที่จะมีสัญชาติ (รวมถึงสัญชาติไทย) และสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ ได้ นอกจากเรื่องแก้กฎหมายแล้ว จะมีการส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กไร้สัญชาติ

ส่วนเด็กผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาแหล่งพักพิง บัญญัติกฎหมายเพื่อคุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาแหล่งพักพิง และประกัน การเคารพหลักการไม่ผลักดันกลับ (non-refoulement) โดยเฉพาะเด็กที่เคยเป็นทหาร รวมทั้งพิจารณาเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 และพิธีสาร ค.ศ. 1967

หรือแม้แต่ (ร่าง) พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ...... ก็ได้ระบุว่า “ให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีสิทธิได้รับการจดทะเบียนรับรองการเกิด การพัฒนา  การยอมรับ การคุ้มครองและโอกาสในการมีส่วนร่วมตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่อง ถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม การศึกษาอบรม ความคิดเห็นทางการเมือง การเกิดหรือสถานะอื่นของเด็กและเยาวชน บิดามารดา หรือผู้ปกครอง”

ฉะนั้นแล้ว ถือได้ว่าเรื่องของสัญชาติของเด็กนั้นไม่ควรจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการทางสังคมต่างๆ อย่างที่ได้เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา และเป็นเรื่อง “สิทธิ” ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนจริงๆ ซึ่งเมื่อย้อนกลับมายังวันเด็กที่เกิดขึ้นนั้น ก็อาจบอกได้ว่า ควรจะเป็นวันเด็กของเด็กๆ ทุกคน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีหรือไม่มีสัญชาติ ควรจะเป็นวันเด็กทุกสัญชาติ ที่ไม่แค่เฉพาะเด็กที่มีทุกข์จากเรื่องสัญชาติเพียงเท่านั้น

..........

ผมยังจำเรื่องของ มึดา นาวานารท เพื่อนเยาวชนจากแม่ฮ่องสอน ได้ว่า เธอเป็นเด็กคนเดียวร้องไห้หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันเด็กหลายปีก่อน เพราะนายกทักษิณเมื่ออดีต หนีพวกเธอออกทางหลังทำเนียบฯ ตอนนั้นเธอเล่าว่าที่ไปทำเนียบนั้นเพื่อจะไปบอกเล่าความรู้สึกและปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองและเพื่อน ๆ เนื่องจากประเด็นไร้สัญชาติเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ผู้ใหญ่ช่วยแก้ไข การได้รับสถานะความเป็นคนไทย คือ ของขวัญสำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่มีสัญชาติ

มึดา เคยเสนอว่า “นายกรัฐมนตรี คือ คนที่มีอำนาจในการจัดการเรื่องสัญชาติสูงสุด หันมาสนใจเรื่องสัญชาติสักนิดก็จะดี แม้จะเป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งเพียงหยิบมือในประเทศไทย แต่อยากให้คิดว่าพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้อยากให้ลองเข้าหาคนรากหญ้าจริง ๆ เดินเข้าหาประชาชนที่ประสบปัญหาจริง ๆ มาดูกันว่าข้อเท็จจริง คือ อะไร มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในนั้นบ้างเราน่าจะมาเปิดโอกาสคุยกันหรือเปล่า เปิดอกคุยกันดีกว่าจะปล่อยเอาไว้แบบนี้ หากยืดเยื้อไม่ยอมแก้ไข ปัญหาจะเรื้อรังขึ้นหรือเปล่าและอย่าแก้ไขที่ปลายเหตุ โยนเงินลงมาให้หรือส่งออกไปประเทศโลกที่สาม แก่นของปัญหาจริง ๆ ไม่ได้รับการเปิดออกมา”

วันเด็กปีนี้ แม้ว่าจะมีการแจกขนมอบกรอบต่างๆ มากมาย คละคลุ้งไปกับกลิ่นโชยแห่งความอาดูร ในการสูญเสียสมาชิกของราชวงศ์ แต่ปัญหาของเด็กทุกๆ คน ไม่ว่ามีหรือไม่มีสัญชาติยังคงเกิดขึ้นดั่งสายลมที่พัดพาความเยือกเย็นหนาว ผ่านมาและผ่านไป ทุกขณะ ...รัฐบาลแล้ว รัฐบาลเล่า.....

--------
แหล่งข้อมูล:
1. รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทย ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฉบับที่ 2 เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ โดย คณะอนุกรรมการเรื่อง “สิทธิเด็ก” คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
2. บทสัมภาษณ์มึดา นาวานารท เข้าถึงได้ที่ http://www.thaingo.org/man_ngo/muda.htm

 

ความเห็น

Submitted by คัดมาแปะ on

......พ.ร.บ.สัญชาติ และ พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร ฉบับใหม่ ที่เพิ่งผ่านการเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้กับเด็กๆ ที่มาร่วมงานวันเด็กไร้สัญชาติ ที่ ร.ร.บ้านแม่จัน เมื่อ 12 ม.ค. ว่า พ.ร.บ.สัญชาติ และ พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร จะทำให้ลูกๆ หลานๆ ที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน มีใบรับรองการเกิด และสูติบัตร ซึ่งก็คือจะมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยโดยระบบทะเบียนราษฎร จะเป็นผลให้มีการกำหนดสถานะ และพัฒนาระบบสถานะ และได้รับสิทธิอื่นๆ ให้สมกับที่รัฐธรรมนูญมาตรา 4 ที่รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน".......

http://www.prachatai.com/05web/th/home/10877

Submitted by ท่านโอยาชิโร่ on

อ่านมาจนจบ ขอส่ายหน้าให้กับพารากราฟสุดท้ายเล็กน้อย
และขอแสดงความเสียใจให้กับพารากราฟก่อนหน้านั้น
ชนชั้นปกครองเขาก็ทำได้แค่นี้แหละค่ะ
หึ ๆ

Submitted by เดือนเสี้ยวในฤ... on

ใช่ จ้า ชนชั้นปกครองก้อทำได้แค่เนี๊ย แถมหากินกะเด็กด้วย เด็กไม่สัญชาติ หริอไมสัญชาติ เขาก้อคือ เด็ก เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกร่วมแผ่นดินของเรา รัฐบาลเผด็จการทุกเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าเผด็จการรัฐสภา เผด็จการข้าราชการ - ศักดินา รัฐบาลเผด็จการทหาร ฯลฯ ล้วนไม่มีความจริงใจ และไม่มีจิตวิญญาณด้านมนุษยธรรม ทั้ง น้านนนน

Submitted by เกรียนสาด ชามะนาว on

รัฐบาลเผด็จการทุกเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าเผด็จการรัฐสภา เผด็จการข้าราชการ - ศักดินา รัฐบาลเผด็จการทหาร ฯลฯ

=============

ปัญญาอ่อนรึเปล่า เผด็จการรัฐสภามันมีที่ไหน นี่เป็นคำที่สร้างมาโดยกลุ่มพันธมิตร รึว่าคุณ เดือนเสี้ยวในฤดูหนาว เป็นพวกพันธมิตร

Submitted by เดือนเสี้ยวในฤดูหนาว on

ใช่ จ้า คุณเกรียนสาด ชามะนาว เราก้อคงเป็นคนปํญญาอ่ออนดังที่คุณ คิด แต่ขอแลกเปลี่ยนกับคุณและทุกๆคนว่าเราไม่เชื่อในระบบการปกครอง ระบบรัฐสภาที่อ้างเสียงส่วนใหญ่ก็คือเผด็จการที่ซื้อเสียงชาวบ้าน (ขอบอกว่าเรามิได้ตำหนิ หรือดูถูกชาวบ้าน ในระบบโครงสร้างสังคมที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ พี่น้องชาวบ้านก็รับเงินได้ หรือพูดตรงๆก้อขายเสียงได้ เพราะเขาไม่รู้จักไปพึ่งใคร นอกจากเขาต้องมีชีวิตที่ต้องหาเงินใช้ในระบบสังคมเช่นนี้แล้ว เขาก้อต้อการสวัสดิการด้วย แต่มันเป็นสวัสดิการที่เป็นการหาเสียงกับพี่น้องชาวบ้านมิได้แก้ไขถึงรากถึงโคน จะเรียกว่าประชานิยมหรือ ไม่ประชานิยมก็ตาม รัฐก็เอาเงินภาษี ของเรา ของคุณ ของประชาชนไปใช้แล้ว มันมิได้แก้ไขต้นตอสาเหตุของปัญหา ถ้าคิดว่าเป็นประชาธิปไตยจริง พรรคการเมืองทุกพรรคต้องบริสุทธิ์ ไม่ซื้อเสียงชาวบ้าน (โปรดอย่าว่าเราดูถูกชาวบ้านอีกนะ)

ให้การเมืองทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ อย่าสามานย์ใช้เงินของพวกนักธุรกิจกินเมือง ซื้อเสียงพี่น้อง ซี กาลเวลาจักตัดสินว่าสังคมนี้จักเป็นเช่นไร เราอย่าได้ตัดสินและยึดติดในทฤษฏีใด กาลเวลาจะ

Submitted by เดือนเสี้ยวในฤดูหนาว on

ให้เบ้าหลอมเราเอง(ก้อมิได้ว่า คุณ เกรียนสาด ชามะนาว ติดยึดในทฤษฏีใดดอก จ้า )

มนุษย์เราไม่ว่าจักเป็นคนชั้นไหน ถ้าอยู่กับโลก หล่อหลอมตัวเองเข้ากับโลกธรรมชาติ ลงลงสู่ผืนปฐพี ไปคลุกคลีน้อมรับเรียนรู้กับชาวบ้านทั้งในดงดอยป่า ในเมืองในสลัม

ฯลฯ แล้ว มนุษย์เช่นเราๆจะเข้าใจในระบบสังคมดีขึ้นว่าทำไมจึงต้องมีความเหลี่ยมล้ำต่ำสูงฯลฯ

ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าเป็นการปกครองใรระบบอประชาธิปไตยมาทุกยุค สลับการรัฐประหาร ไม่ว่ายุค จอมพล ป , ถนอม ประ ภาส เปรม ชวน ทักษิณฯ ลตามความคิดเห็นของเราล้วยเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ฯลฯ

พูดคุยแลกเปลี่ยน กะ คุณ เกรียนสาด ชามะนาว มาด้วยความเคารพ มิได้ใช้อารมณ์ใส่กัน

การใช้อารมณืสาดใส่กัน นั้นมันมิมีการสร้างสรรค์ ดอก จ้า ยิ่งกล่าวผรุสวาท ด่ากันแล้วก้อยิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อสารเครียดหลั่ง ( ขอโทษ สารอสุจิ หรือสารความสุขของทั้งสองเพศหลั่งมิเป็นไรดอก เพราะมิใช่สารเครียด)

หากใช้อัตตาตัวเองมาตัดสิน เรื่องราว ปรากฏการณืต่างๆ โดยไม่รับรู้เข้าใจความเป็นจริงของสังคม ของ โลก ของชีวิต ของธ

Submitted by เดือนเสี้ยวในฤดูหนาว on

ของธรรมชาติ แล้ว เราก้อจะคิดว่าสิ่งที่เราคิด ถูก ของ คนอื่น ผิด ไม่มีใครผิดใครถูกดอก จ้า และตัวเราเองก้อมิได้อยู่ฝ่ายไหน เราเป็น เราเอง มีกิเลส มีตัณหาได้ เพราะเราอยู่ในโลกโลกียะ มิใช่โลกุตระ ยังไม่บรรลุธรรม ฯลฯ

ขอบพระคุณ คุณ เกรียนสาด ชามะนาว, ที่ได้มาสนทนากัน

Submitted by เออ on

เออ พูดภาษาดอกไม้ถึงกัน ก้อ ดู สวยยยย หน่อย มิใช้อารมณ์ สาดใส่กัน มันจึงดูม่ายยยทูเรด

Submitted by เต้า on

ชนชั้นปกครองคือใคร....
ทำไมมันจึงมีขึ้น
ประชาชนล้มลุกไร้จุดยืน
ล้มครืนคร่าคนไร้หนทาง

ชนชั้นนำ จะทำไทยไปไหนครับ
จะขยับไปทางไหนอย่างไรหนอ
มาบอกสอนสั่งเราให้เพียงพอ
แต่คุณท่านั้นหนอ "ผลาญ"ตัวดี

รัฐ บาน มีงานอะไรนัก
มีความรักให้ประชากันบ้างไหม
คิดจะทำ ก็ทำ เอาตามใจ
แล้วเมื่อไหร่ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

.....

Submitted by เกรียนสาด ชามะนาว on

"ระบบรัฐสภาที่อ้างเสียงส่วนใหญ่ก็คือเผด็จการที่ซื้อเสียงชาวบ้าน (ขอบอกว่าเรามิได้ตำหนิ หรือดูถูกชาวบ้าน ในระบบโครงสร้างสังคมที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ พี่น้องชาวบ้านก็รับเงินได้ หรือพูดตรงๆก้อขายเสียงได้ เพราะเขาไม่รู้จักไปพึ่งใคร นอกจากเขาต้องมีชีวิตที่ต้องหาเงินใช้ในระบบสังคมเช่นนี้แล้ว เขาก้อต้อการสวัสดิการด้วย แต่มันเป็นสวัสดิการที่เป็นการหาเสียงกับพี่น้องชาวบ้านมิได้แก้ไขถึงรากถึงโคน จะเรียกว่าประชานิยมหรือ ไม่ประชานิยมก็ตาม รัฐก็เอาเงินภาษี ของเรา ของคุณ ของประชาชนไปใช้แล้ว มันมิได้แก้ไขต้นตอสาเหตุของปัญหา ถ้าคิดว่าเป็นประชาธิปไตยจริง พรรคการเมืองทุกพรรคต้องบริสุทธิ์ ไม่ซื้อเสียงชาวบ้าน (โปรดอย่าว่าเราดูถูกชาวบ้านอีกนะ) "

====================================================

ทีแรกว่าจะไม่ตอบละ กะจะไปเกรียนบอร์ดอื่นมาก แต่คนคอมเมนท์คนนี้มันปัญญาอ่อน ดูถูก
คนจนจริงๆ ปัญญาอ่อนถึงกับไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตย

เมื่อมีการลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำ ใครจะเลือกคนดีคนเลว ถึงแม้ไม่ถูกใจชนชั้นกลางแบบคุณ แต่มันคือประชาธิปไตย

แนวคิดแอนตี้ประชาธิปไตยแบบคุณ มันก็แค่ชนชั้นกลางปัญญาอ่อน ไปล่ะ

Submitted by ท่านโอยาชิโร่ on

"มันมิได้แก้ไขต้นตอสาเหตุของปัญหา ถ้าคิดว่าเป็นประชาธิปไตยจริง พรรคการเมืองทุกพรรคต้องบริสุทธิ์ ไม่ซื้อเสียงชาวบ้าน"

ฉันคิดว่าประโยคนี้มีปัญหาค่ะ ลูกแกะน้อยผู้หลงทางเอ๋ย
เรื่องซื้อเสียงฉันคิดว่าเป็นเรื่องเล็กมากเลยค่ะ เมื่อเทียบกับการควบคุมโดยกลุ่มคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา แต่ถูกแต่งตั้งโดยคุณวุฒิบ้าบอคอแตก ตรวจสอบก็ไม่ได้ เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง ฯลฯ

พวกหลังนี่แหละอุปสรรคของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

เพศวิถีมีชีวิต : การเปลี่ยนแปลงจากภายใน อะไรที่ท้าทายเรา?

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

เพศวิถีมีชีวิต : เพศวิถีของวัยรุ่นในวันที่โลกหมุนเปลี่ยน

โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา

เพศวิถีมีชีวิต: เคารพในความหลากหลาย รักเลือกได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

เพศวิถีมีชีวิต: ชีวิตทางเพศ เริ่มคุยจากตัวเอง

สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ

เพศวิถีมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงจากภายใน

เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน

ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์