Skip to main content

รุ่งเช้าสายหมอกยังบ่จาง เด็กๆ จับกลุ่มเดินไปโรงเรียน หนุ่มสาวแบกตะกร้าหนักอึ้งกลับจากไร่ ผักกาดเขียวถูกเก็บมาสุมไว้ท้ายกระบะรถเตรียมส่งขายในเมือง ชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านหนองเต่ายังดำเนินเช่นทุกวัน  เพียงแต่วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับชาวบ้านหลายคน เพราะบ้านอยู่อู่นอนกำลังจะได้เอกสารสิทธิ์หลังรอคอยมาเกือบ  30 ปี
\\/--break--\>
แต่ความยินดีที่แปดเปื้อนเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าของชาวบ้านหาได้สร้างความสุขให้เฒ่าชรา ผู้นำที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิผืนดินทำกินของปกาเก่อญอที่บุกเบิกก่อร่างสร้างชุมชนขึ้นในบริเวณลุ่มน้ำแม่วางมานานกว่า 300 ปี

ด้วยน้ำเสียงเรียบกับแววตาของผู้ผ่านโลกมานาน พ่อเฒ่าเอ่ยขึ้นบนลานไม้ใต้ถุนบ้าน
"เราเรียกร้องมาสิบกว่าปี... ตอนประกาศอุทยาน เราขอให้ที่ดินหมู่บ้านเป็นโฉนดชุมชน สิทธิ์ที่ได้มาแบบนี้ทำให้มีทะเบียนบ้านได้จริง แต่นี่คือการส่งเสริมปัจเจก ซึ่งถ้าชาวบ้านจัดการไม่ได้ ที่ดินก็จะถูกขายกลายเป็นของนายทุน ไปอยู่ที่ธนาคาร ใครอยากขายก็ขายได้ เรื่องแบบนี้เขาไม่เข้าใจ มันคือปัญหาการล่าอาณานิคม แต่ถ้าเป็นโฉนดชุมชน ชุมชนแบบนี้จัดการแบบนี้ มีชีวิตแบบนี้ ขายก็ไม่ได้ แบบนี้จะยั่งยืน"

...ความเป็นไปที่เกิดขึ้นไม่ได้เหนือความคาดหมายของผู้เฒ่า 40 ปีล่วงมาแล้วที่เด็กหนุ่มปกาเก่อญอชื่อ จอนิ โอโดเชา เริ่มออกเดินทางไปกับบาทหลวงคาทอลิกที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาและทำกิจกรรมทางสังคมในลุ่มน้ำแม่วาง ชีวิตของเขาพลิกผันพบเจอเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวและความคิดที่ค่อยๆ สั่งสม แหลมคม ชัดเจน ทำให้เขาได้คำตอบนานัปการที่เคยขบคิดอย่างไม่เข้าใจ โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากแรงผลักดันภายนอก ที่ทำให้วิถีเกษตรของบรรพชนชาวเขาถูกตีตราด้วยวาทกรรมผู้ทำ "ไร่เลื่อนลอย" หรือ "ผู้ทำลายป่า" เพื่อมาลบล้างมายาคติที่ฝังแน่นในสังคมนี้ ที่ผ่านมาจอนิจึงใช้เวลาทั้งชีวิตทำงานเพื่อพิสูจน์ โดยนำชุมชนหวนคืนสู่ภูมิปัญญารากเหง้าของบรรพบุรุษ และดำรงชีวิตด้วยการสดับตรับฟังภาษาธรรมชาติอีกครั้ง...

บนลานไม้ใต้ถุนบ้านหลังนี้ กำลังมีบทสนทนาของเฒ่าชรากับลูกหลาน การต่อสู้ของเขาถูกเล่าขานซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนแสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลับแนวเขา ความคิด ความรู้ และความเชื่อของพ่อเฒ่าปากเก่อญอยังเจิดจ้า เมื่อ "โอะชิ" เด็กหนุ่มปากเก่อญอรุ่นใหม่ในหมู่บ้าน กรีดนิ้วลงบนเส้นสาย เตหน่า (เครื่องดนตรีโบราณลักษณะคล้ายพิณของชาวกะเหรี่ยง) สะท้อนเสียงโบราณขับกล่อมหมู่บ้าน เพลงทาภาษาเผ่าและเจตนารมณ์ถูกแปลเป็นภาษาสากลผ่านเยาวชนรุ่นหลัง

"ปกาเก่อญอ"  ในยุคเปลี่ยน


แม้รอยเท้าของเขาเล็กกว่ารอยเท้าผู้เฒ่าที่เดินนำหน้าเพียงเล็กน้อย สายตาและสัมผัสของเขายิ่งมิอาจจดจำท่วงทำนองแห่งวิถีไพรได้เหมือนผู้เฒ่า สำหรับโอะชิ  ผู้เฒ่าที่เขาเรียกว่า "พะตี" (ลุง) คนนี้ ทำให้เขาได้รู้จักตัวตนของปกาเก่อญอ และทำให้ชนรุ่นเขาได้กลับมาตามหาจิตวิญญาณชนเผ่าที่มิอาจตัดขาดกับป่าและสรรพชีวิตรายรอบ

หลังฝนซา ทางเดินจากเท้าย่ำสายเล็กๆ ที่เลื้อยทอดยาวเข้าไปในแนวป่ายังเปียกแฉะด้วยตะไคร่เขียวชื้นที่ยึดเกาะผืนดินและก้อนหินไว้อย่างมิดชิด หลายปีมาแล้วที่ผืนป่ากว่า 8,000 ไร่ ของปาเก่อญอบ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กลับมาคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ลุ่มน้ำแม่วางอีกครั้ง

จอนิและโอะชิ กำลังย่างเท้าลึกเข้าไปใต้ป่าอย่างทะมัดทะแมง พวกเขาร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวของป่าใหญ่ผืนนี้ที่ถูกจัดสรรเป็นพื้นที่ทำกิน 500 ไร่ มีป่าใช้สอย 3,500 ไร่ และป่าอนุรักษ์ที่ห้ามใช้ประโยชน์อีก 4,000 ไร่ ชีวิตของชาวปกาเก่อญอบ้านหนองเต่า 120 ครอบครัว 600 คนที่เติบโตขึ้นมาจากป่า ยังดำเนินไปตามความเชื่อ ภูมิปัญญา จารีต และระบบวัฒนธรรม มีผลผลิตจากป่าและไร่นาสมบูรณ์ตลอดปี แต่กว่าจะมีวันนี้ป่ากับปกาเก่อญอได้ข้ามผ่านวิกฤตมาแล้วหลายยุคสมัย

จอนิ เล่าว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่เขายังเป็นเด็ก รัฐบาลในยุคจอมพล ป.พิบูลสงครามอนุญาตให้มีการค้าฝิ่นอย่างถูกกฎหมาย บ้านป่าดงดอยในลุ่มน้ำแม่วางตอนบนถูกเปลี่ยนเป็นไร่ฝิ่นไปอย่างมหาศาลโดยแหล่งทุนที่มาจากคนเมืองพื้นราบ การระบาดของฝิ่นได้บ่อนทำลายและสั่นคลอนความเชื่อและระบบจารีตปกาเก่อญอที่มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพชน เมื่อการปลูกฝิ่นรุกล้ำในพื้นที่ป่าความเชื่อหรือหวงห้าม เช่น ป่าบนเนินเขาที่มีสายน้ำล้อมรอบ ป่าน้ำซับมีต้นไม้ใหญ่และมีน้ำในแอ่งตลอดปี ป่าขุนห้วย ป่าที่มีน้ำผุด ป่าที่อยู่ช่องเขาเพราะถือเป็นทางเดินของผี กฎเกณฑ์ที่ดีงามเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมที่มาจากเมือง ไร่นาริมน้ำแม่วางเริ่มขาดแคลนน้ำ ปกาเก่อญอเข้าสู่สังคมแรงงานรับจ้างในไร่ฝิ่น พอได้ค่าแรงหรือได้ผลผลิตทางการเกษตรก็จะนำซื้อฝิ่นเพื่อเสพ เมื่อไม่มีเงินก็เริ่มติดหนี้ติดสินเพราะติดฝิ่น

ชีวิตวัยเยาว์ของจอนิจึงได้แต่เฝ้ามองพ่อที่ถูกฝิ่นมอมเมาจนเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้ เขาจำต้องออกไปรับจ้างเลี้ยงควาย เก็บของป่าขายเพื่อเป็นกำลังหลักในการดูแลพ่อและช่วยเหลือตนเอง ในปี 2484 ไม้ใหญ่ส่วนมากถูกโค่นล้มไปจากความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลให้สัมปทานป่าไม้ในเขตลุ่มน้ำแม่วางตอนล่าง พร้อมๆกับการเกิดขบวนการทำไม้เถื่อนในป่าลุ่มน้ำแม่วางตอนบน ป่าแม่วางในอดีตจึงเป็นแหล่งรวมของเจ้านายทำไม้ แรงงานรับจ้างทั้งคนใน คนม้ง และคนเมืองที่มาจากนอกพื้นที่ มีการตัดไม้และไล่ล่าสัตว์ป่าใหญ่น้อยเป็นมหกรรมครั้งใหญ่ในช่วงเวลายาวนาน

เมื่อคณะปฏิวัติชุดจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ ออกประกาศให้เลิกการเสพและจำหน่ายฝิ่นในปี 2502 กฎหมายก็มิอาจหลุดการกลายสภาพป่าเป็นไร่ฝิ่นได้อย่างทันการณ์ ความเสื่อมโทรมที่เริ่มปรากฎผลจากทรัพยากรสมบูรณ์ที่ลดน้อยถอยลง คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนทรุดโทรม ผู้เฒ่าของหมู่บ้านยุคนั้นจึงเริ่มอนุรักษ์ป่าขุนน้ำแม่วางขึ้นในปี 2512 โดยการเลิกทำไร่ ปล่อยพื้นที่ทำกินให้ฟื้นสภาพกลายเป็นป่าขึ้นมาอีกครั้ง มีการแบ่งเขตที่ทำกิน ป่าใช้สอย และป่าอนุรักษ์ดังปรากฎเป็นรูปแบบในปัจจุบัน นับเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์การอนุรักษ์ป่าชุมชนของหมู่บ้านหนองเต่าจากนั้นเป็นต้นมา

จอนิชี้ให้ดูแนวไม้ป่าอายุ 20 ปี ถึง 40 ปีที่เติบโตขึ้นมาจาการปล่อยให้โตขึ้นเองตามธรรมชาติและการปลูกเพิ่ม ด้านโอะชิแม้จะไม่รู้จักต้นไม้เก่าแก่ทุกต้นเหมือนพ่อเฒ่า แต่เขาก็มีหวายและไม้ยืนต้นอายุนับปีที่นำกลุ่มเยาวชนเข้ามาปลูกเพิ่มในช่วงหลังต้นไม้เหล่านี้ค่อยๆ เจริญเติบใหญ่ขึ้นตามวันเวลา


 

ไร่หมุนเวียน บ่ใช่ไร่เลื่อนลอย

ปกาเก่อญอสองคนต่างวัยสาวเท้าลัดเลาะขึ้นไปบนเนินป่า เมื่อผ่านช่องโปร่งของต้นไม้ ผืนดินเบื้องล่างก็ปรากฎภาพแอ่งของไร่ข้าวเขียวขจีที่มีป่าครื้มล้อมรอบ โอะชิพูดยิ้มๆว่า "ระบบไร่หมุนเวียนจะเผาไร่เดือนเมษา 1-10 วัน เพื่อมีข้าวกิน เวลาเผาชาวเขาจะรู้เลยว่าเผาตอนเช้าตอนเย็นฝนจะตก มันเป็นภาษาธรรมชาติที่รับรู้กันมา ไร่แต่ละไร่จะทิ้งไว้ 7 ปี ถึงจะกลับมาทำที่เดิม บ้านหนองเต่าทำไร่หมุนเวียนแค่ 10 ครอบครัว มีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ ชาวบ้านที่เหลือมีนามีสวนไม่ได้ทำไร่แล้ว เทียบกับคนเมืองที่ขับรถยนต์ปล่อยคาร์บอนทุกวันไม่ได้หรอก"

หากมองไร่ข้าวจากบนเขาในมุมกว้างนี้จะเห็นวิถี 7 รอบของไร่หมุนเวียนได้อย่างชัดเจน ผ่านคำอธิบายของจอนิ ไร่หมุนเวียน จะมีรูปแบบของพื้นที่ 5 ลักษณะ "ดูล่ะ" จะเป็นพื้นที่ป่าที่ฟื้นตัวจากการทำไร่มาแล้ว เหมาะสมแก่การหวนกลับมาตัดฟันเพื่อเปิดพื้นที่ทำไร่ใหม่ "คึ" เป็นพื้นที่สำหรับทำเกษตรในฤดูปัจจุบัน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การตัดฟันไม้ในไร่ ถางที่ เผา ก่อนจะเพาะปลูกข้าวจนเก็บเกี่ยวผลผลิต "ฉกี่วา" เป็นพื้นที่หลังการเก็บเกี่ยวที่ถูกทิ้งไว้โดยอาศัยกลไกธรรมชาติจากพื้นที่ป่าที่อยู่โดยรอบแปลงในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน รอเวลาให้ฟื้นตัว 1-2 ปี ซึ่งต้นไม้ยังเติบโตไม่มากนัก แต่ยังพอมีผลผลิต เช่น ข่า ตะไคร้ ขมิ้น พริก เผือก มัน ฟัก แตง ที่เหลือจากการทำไร่หลงเหลือให้เก็บเกี่ยวอยู่ พื้นที่นี้จะมีการเลี้ยงสัตว์ จอนิบอกว่าสัตว์ป่าต่างๆ ก็จะเข้ามาหาอาหารในพื้นที่นี้ด้วย

"ฉกี่เบาะ" เป็นพื้นที่ที่ป่าฟื้นตัวจาการทำไร่ 4 ปี ขึ้นไป ไม้ในป่าเริ่มเติบโตกลายเป็นป่าขนาดเล็ก สามารถนำไม้มาซ่อมแซมบ้านเรือน ทำรั้ว หรือทำฟืนได้ และหากเจ้าของไร่พิจารณาเห็นว่าสมควรกลับมาทำกินอีก ก็จะเข้าสู่ช่วงดูล่ะใหม่อีกครั้ง ฉกี่เบาะที่ปล่อยให้เติบโตโดยไม่ตัดฟันอีกจะกลายสภาพเป็นป่าโตเต็มที่เรียกว่า "ปก่า" ป่าหลายผืนบนขุนแม่วาง ป่าต้นน้ำ รวมทั้งป่าชุมชนหนองเต่า 8,000 ไร่นี้ นอกจากพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ทำกินที่ยังใช้ประโยชน์อยู่ และป่าความเชื่อต่างๆ ป่าเกือบทั้งหมดก็เป็นปก่าที่เติบโตมาจากฉกี่เบาะที่ปากเก่อญอร่วมกันรักษามานานนับ 40 ปีแล้ว ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีป่าของครอบครัวสำหรับปลูกต้นไม้ไว้ใช้สอยเองด้วย

จอนิยืนยันว่า ระบบไร่หมุนเวียนของชาวเขามีกฎเกณฑ์ตามกรอบความเชื่อมาแต่ครั้งบรรพบุรุษเพื่อให้ทุกคนเคารพนบน้อมต่อธรรมชาติที่ให้น้ำให้อาหารให้ความสมบูรณ์ การเตรียมพื้นที่เพาะปลูกจะมีรูปแบบของภูมิปัญญาที่สามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้มากที่สุดระบบหนึ่ง เช่น ไม่ตัดฟันไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในไร่ หรือเวลาตัดต้นไม้จะเหลือตอไว้ให้สามารถแตกกอใหม่ได้ มีการทำแนวกันควบคุมการเผาไร่ไม่ให้ลุกลามออกไปนอกแปลงทุกครั้ง มีการปลูกพืชแบบผสมผสาน คือ มีข้าวไร่เป็นพืชหลัก และมีพรรณพืชอาหาร พืชไช้สอยต่างๆไม่ต่ำกว่า 30 ชนิดพันธุ์ เพื่อเป็นหลักประกันในความมั่นคงทางด้านอาหาร     จอนิจึงย้ำมาตลอดว่า ระบบเกษตรตามวัฒนธรรมของชาวเขา "ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอย แต่เป็นไร่หมุนเวียน"

"ชาวกะเหรี่ยงทำไร่บนเขาเป็นหย่อมๆ เวียนทำไร่ไปตามหย่อมนั้น ตัดเวลาที่ควรตัด เผาเวลาที่ควรเผา ไม้มันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ปกาเก่อญอมีความเชื่อเรื่องผีนาผีไฟ ทำไมตอนมีพิธีเลี้ยงผีไฟ เหตุผลวิทยาศาสตร์คือต้องดูแลไฟ คนทำไร่ต้องเลี้ยงผีไฟปีละครั้ง คนทำนาต้องเลี้ยงผีนา ผีเหมือง ผีฝาย ทำไมเราต้องเลี้ยงผีน้ำทุกๆ ปี เพราะทุกคนทุกชีวิตเกี่ยวข้องกับน้ำ คนเรายังมีน้ำในร่างกาย 70% นี่คือเหตุผลทางความเชื่อ มันมีหลักการ ถึงคนเพิ่มขึ้น ใช้ไม้มากขึ้น แต่ปัจจัยหลายอย่างอยู่ที่การจัดการ ในอนาคตมันต้องมีสมดุลความเหมาะสมของมันอยู่ แต่บางคนมีที่ 1,000 ไร่ เป็นพืชเชิงเดี่ยวทั้งหมดอันนี้ต้องจัดการอย่างไร

"เราอยู่ที่นี่มา 300 ปี เท่ากับคนกรุงเทพฯ แต่ที่นี่ยังมีป่าอยู่ มีบ้าน มีวัด บนเขามีชาวเขาอยู่มาเป็นพันปี แล้วทุกอย่างก็ยังอยู่ ลูกหลายจะทำป่าให้ดีกว่าเดิมด้วย แต่วันนี้ ยังมีคนพูดว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอยอยู่ในหนังสือเรียนก็บอกแบบนี้" และถ้าเทียบกับพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรอื่นๆ ในประเทศ จอนิเชื่อหมดใจว่า "ที่ไหนมีชาวเขา ที่นั่นยังมีป่า"

ผู้ทำลายป่าคือชาวเขา?

โอะชิ กำลังเดินตามรอยเชื่อมั่นของพ่อเฒ่า หากปราชญ์ผู้นี้ไม่ได้เฝ้าถามและแสวงหาคำตอบในท่วงทำนองแห่งวิถีปกาเก่อญอเรื่อยมา วันนี้เรื่องราวมากมายคงค่อยๆสูญหายไปจากปกาเก่อญอรุ่นหลังด้วยสำเนียงภาษากลางชัดถ้อยชัดคำ เพราะได้รับการศึกษาในหลักสูตรมาตามระบบจนจบมัธยมปลาย แต่โอะชิกลับรู้สึกสนุกสนานและลึกซึ้งมากกว่ากับบทเรียนเรื่องราวในอดีตที่เฒ่าชราถ่ายทอด "การเรียนในระบบไม่ได้ทำให้ผมรู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตของปากเก่อญอเลย" โอะชิพูด

ในที่สุดโอะชิ และเฒ่าชรา ก็เดินเข้าสู่ขอบป่าอนุรักษ์อันรกชัฎ ณ ที่แห่งนี้เขาสามารถจำแนกอธิบายชนิดพรรณพืชต่างๆ รู้ถึงคุณค่าและเข้าใจในความเกี่ยวพันของธรรมชาติและสรรพชีวิตทั้งปวง หลายปีมานี้ที่โอะชิมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่ามาอย่างภาคภูมิใจ แต่ด้านหนึ่งเขาก็ร่วมเจ็บปวดไปกับบาดแผลแห่งวิบากกรรมของคนในยุคก่อน

พ่อเฒ่าชี้ให้ดูหน่ออ่อนที่งอกจากตอไม้เก่าได้กลายเป็นต้นไม้ขนาดรอบคนโอบ ต้นไม้ต้นนี้คือหนึ่งในหลายล้านต้นที่ฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงที่ป่ามหาศาลถูกโค่นตัดจาการสัมปทานป่า ในเวลาที่จอนิเพิ่งอายุเพียง 5 ขวบ เขายังได้เห็นปู่นำช้างเข้าไปรับจ้างลากไม้ให้นายห้างในป่า ได้เห็นความเป็นไปของปกาเก่อญอที่เห็นเงินอยู่เหนือจารีตความเชื่อ พฤติกรรมการตัดไม้จนเขาลูกแล้วลูกเล่าเตียนโล่งหรือการล่าสัตว์ป่าขนานใหญ่ที่เปลี่ยนบ้านป่าอันอุดมสมบูรณ์มาสู่ยุคแร้นแค้น ปกาเก่อญอเริ่มเจ็บป่วยล้มตายจากโรคระบาด พ่อเฒ่าเชื่อตามความเชื่อของปกาเก่อญอว่า คนเราเกิดมาจากต้นไม้ และวิญญาณของคนมีอยู่ 37 ขวัญ อยู่ในร่างกายคน 5 ขวัญ และอยู่ในสรรพชีวิตรอบๆ เช่น นกเงือก ช้าง เสือ หมี กระทิง เก้ง กวาง หมูป่า กุ้ง หอย ปู ปลา อีก 32 ขวัญ เมื่อป่าไม้และสัตว์ป่าล้มหายตายจาก จิตวิญญาณของชาวปก่าเกอญอจึงอ่อนแอ แต่ก็ด้วยความเชื่อที่ยังฝังแน่นในจิตวิญญาณอีกเช่นกัน ที่ทำให้จอนิได้เห็นทางเลือกของปกาเก่อญอในการหวนคืนสู่วิถีชีวิตเดิม

ความพยายามในการอนุรักษ์ป่าชุมชนของผู้เฒ่ารุ่นก่อนในปี 2512 จอนิจึงเป็นผู้สืบสาน ในขณะที่การอนุรักษ์ป่าหนองเต่าเพิ่มเริ่มต้นได้ไม่นาน ก็เริ่มมีโครงการปลูกป่าทดแทนการทำไม้และปลูกฝิ่นของหน่วยจัดการต้นน้ำขุนวาง กรมป่าไม้ เข้ามาในพื้นที่ปี 2518-2519 แต่ในความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเขาหัวโล้น พื้นที่เสื่อมโทรม กับไร่หมุนเวียนที่รักษาสมดุลให้ระบบนิเวศ ได้กลายเป็นชนวนขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับชาวเขาที่เพิ่มความไม่เข้าใจต่อกันและทวีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาที่จอนิมองเห็น นอกจากการปลูกป่าทับที่ทำกินซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ วิธีการปลูกป่าของกรมป่าไม้ที่จะต้องตัดไม้ธรรมชาติทิ้งก่อนเพื่อปลูกต้นสนเพียงอย่างเดียว ยังทำให้พื้นที่ขาดความหลากหลายทางชีวภาพในความเป็นป่า ผืนดินเสื่อมโทรมแห้งแล้งสัตว์ป่าไม่เข้ามาอยู่อาศัย หนำซ้ำยังทำให้เกิดไฟป่า รุนแรงขึ้นทุกปี และยังลามไปเผาไหม้พื้นที่ป่าและพื้นที่ไร่หมุนเวียนอื่นๆในอาณาบริเวณกว้าง

"ไม้สนตามธรรมชาติจะขึ้นร่วมกับไม้อื่นๆ ไม่มีอะไรเดี่ยว เค้าจะทำป่าเศรษฐกิจก็เปลี่ยนไปอีกแบบตอนนั้นญี่ปุ่น แคนาดา อเมริกาต้องการไม้สนเยอะ เค้ามาลงทุนที่นี่ เราก็ไปปลูกตามเค้ากลายเป็นปัญหาสะสมไปอีกแบบ ผลจากการปลูกสนเดี่ยวคือใต้ดิน 2 เมตรจะร้อนกว่าปกติ สนดูดน้ำเยอะจะคายน้ำให้ดินก็ 40 ปีขึ้นไป พืชอื่นไม่ชอบ ไผ่ไม่ชอบ ไส้เดือนไม่มี นกกระแต กระรอกไม่มีอาหารเพราะไม่กินลูกสน บางปีมีแมงบ้ง(หนอน) มากินใบสนจนเกลี้ยง ในช่วงที่ใบร่วงหมดก็เป็นเชื้อเพลิงให้ไฟไหม้รุนแรง ไม้สนก็ตาย ไม้อื่นก็ตาย สัตว์ก็ตาย ผลกระทบพวกนี้ไม่มีการศึกษาให้ชัด แต่อยู่ในท้องถิ่นเรารู้" จอนิพูด

ในสายตาของชาวเขา การปลูกป่าที่เกิดขึ้นโดยรัฐนั้นนอกจากจะไม่ได้สร้างประโยชน์ให้คนกับป่าแล้ว ยังทำให้ชาวเขาเห็นความอ่อนด้อยของรัฐในการจัดการป่า ทั้งเรื่องฝิ่น การสัมปทานขายป่าให้ต่างชาติ การอนุรักษ์ป่าที่กลายเป็นการทำลาย ซึ่งในเวลาต่อมายังมีโครงการของกรมประชาสงเคราะห์เข้ามาส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชเศรษฐกิจและพืชเมืองหนาวในรูปแบบเชิงเดี่ยว วิถีเกษตรแนวใหม่ได้นำอันตรายอย่างปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืชเข้ามาใช้กันอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้เกิดมลพิษที่ทำร้ายชาวป่าชาวเขา และระบบนิเวศอันบริสุทธิ์

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นโดยรัฐทำให้ปกาเก่อญอมั่นใจว่า "ผู้ที่สามารถจัดการป่าได้ดีที่สุด คือชาวเขาและภูมิปัญญาของชาวเขา" จอนิพูด แต่ความเจ็บช้ำยังตามติด เมื่อป่าชุมชน 8,000 ไร่ ที่ชาวเขาร่วมกันดูแลมานับ 20 ปี เริ่มฟื้นสภาพ ในปี 2536 กรมป่าไม้ประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับพื้นที่นั้น เพื่อให้อำนาจในการจัดการป่าของประเทศตกเป็นของรัฐแต่เพียงผู้เดียว

เช้าวันที่ชาวปกาเก่อญอได้เอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ครัวเรือน อาจหมายถึงการยอมรับสิทธิความเป็นเจ้าของบ้านในฐานะปัจกเจก แต่ไม่ได้ให้สิทธิในความเป็นเจ้าของทรัพยากรที่พวกเขาอยู่ร่วมพึ่งพิงและดูแลรักษากันมานานนับ 300 ปี

ที่มา : คัดตอนเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ " -2' เมื่อสองมือร่วมคลายโลกร้อน (Cooling down the planet with both hands)" , สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก ,เมษายน 2552

 

 

บล็อกของ คนไร้ที่ดิน

คนไร้ที่ดิน
โดย...สุภาภรณ์ วรพรพรรณ, ระวี ถาวร และ สมศักดิ์ สุขวงศ์   เส้นทางเข้าสู่บ้านตระ 29 มกราคม 2553 เดือนเต็มดวงในค่ำคืนนี้ อยู่ใกล้แทบจะเอามือคว้าได้ ฉันเข้านอนก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย เมื่อหัวค่ำพี่น้องชาวบ้านตระได้เล่าประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านและบรรพบุรุษของพวกเขา ฉันหลับตานอนเท่าไรก็ไม่ค่อยจะหลับ ด้วยจิตใจจินตนาการถึงหนังสือของบริก แฮม ยัง ที่เขียนเรื่องหมู่บ้านโบราณที่โลกลืมของอินเดียแดงเผ่าอินคาท่ามกลางป่าดงดิบบนเทือกเขาแอนดีส (The Lost City of Incas)
คนไร้ที่ดิน
กว่าจะปรากฏเป็นรูปการณ์การดำรงอยู่และการดำเนินไปของชีวิตแห่งมวลมนุษยชาติในยุคปัจจุบันได้นั้น... ได้ผ่านความยากลำบากมากด้วยกัน ด้วยการร่วมกันดิ้นรนและต่อสู้อย่างบากบั่น ผ่านห้วงเวลา ผ่านการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยของสังคม จนผนึกแน่นเป็นสัญชาตญาณห่อหุ้มอยู่ด้วยจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง ละเมียดละไมกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
คนไร้ที่ดิน
อารีวรรณ คูสันเทียะ กลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นไร้พรมแดน     นับตั้งแต่เกิดวิกฤติด้านการเงิน ประเด็นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป เมื่อพิจารณาจากรายงานข่าวของสื่อต่างๆที่ออกมา เช่น “เกาหลีใต้กำลังเช่าที่ดินครึ่งหนึ่งของมาดากัสการ์ เพื่อผลิตอาหาร” (อันที่จริงแล้วไม่ใช่รัฐบาลแต่เป็นของบริษัทแดวู) ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากมักจะให้ความสนใจว่าผู้ที่มีบทบาทนำในการกว้านซื้อที่ดินเพื่อผลิตอาหารในระดับโลกนั้นเป็นประเทศ หรือรัฐบาลไหน ความสนใจส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่การเกี่ยวพันของรัฐบาล เช่น ซาอุดิอาระเบีย จีน หรือเกาหลีใต้ แท้ที่จริงในขณะที่รัฐบาลเป็นผู้อำนวยการด้านการเจรจา…
คนไร้ที่ดิน
ศยามล ไกยูรวงศ์ โครงการเสริมสร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา     ประเด็น “โลกร้อน” เป็นเรื่องใหญ่ที่ใกล้ตัว ถ้าโลกร้อนขึ้นอีก 2 – 4 องศาเซลเซียส กล่าวกันว่ามนุษย์ทุกคนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ที่แน่ๆคนจนและผู้ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด และไม่มีทางเลือกใดๆต่อการดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ และประเด็นนี้เองที่ “คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม” มีข้อเสนอต่อการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติ ในการประชุมที่กรุงเทพฯ และที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ว่า
คนไร้ที่ดิน
รุ่งเช้าสายหมอกยังบ่จาง เด็กๆ จับกลุ่มเดินไปโรงเรียน หนุ่มสาวแบกตะกร้าหนักอึ้งกลับจากไร่ ผักกาดเขียวถูกเก็บมาสุมไว้ท้ายกระบะรถเตรียมส่งขายในเมือง ชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านหนองเต่ายังดำเนินเช่นทุกวัน  เพียงแต่วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับชาวบ้านหลายคน เพราะบ้านอยู่อู่นอนกำลังจะได้เอกสารสิทธิ์หลังรอคอยมาเกือบ  30 ปี
คนไร้ที่ดิน
นักข่าวพลเมือง เทือกเขาบรรทัดหวัดดีจ้า, เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ไปเที่ยวบ้านไร่เหนือ ต.ในเตา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาบรรทัดรอยต่อระหว่างพัทลุงและนครศรีธรรมราช บ้านไร่เหนือก่อตั้งมาหลายร้อยปีแล้ว จากหลักฐานบ่งชี้คือ เครื่องใช้โบราณที่เป็นกระเบื้องและดินเผา โครงกระดูกที่ขุดพบ นอกจากนั้นยังมีสวนผลไม้โบราณ เช่น ทุเรียน มัดคุด มะปริง มะปราง ลางสาด เป็นต้น
คนไร้ที่ดิน
หวัดดีจ้า, 2-3 วันที่ผ่านมาได้พาทีมงานที่จะมาช่วยทำสารคดี หนังสั้น และพ็อคเก็ตบุค  ไปตะลอนทัวร์ชิมผลไม้ ในพื้นที่ทำงาน 3 หมู่บ้านของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด เลยเก็บมุมงามๆ และอิ่มอกอิ่มใจมาฝาก ตั้งใจยั่วน้ำลายทุกคน อยากชวนไปเก็บผลไม้กินด้วยตัวเองจ้า
คนไร้ที่ดิน
การที่สังคมถูกปล่อยปละละเลยให้ดำเนินไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยคาดการณ์ว่าการพัฒนาดังกล่าวจะสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับสังคม ผู้คนมีอาชีพที่หลากหลายมีรายได้สูง ก่อเกิดการสร้างงาน สร้างสังคม สร้างชาติ และหล่อเลี้ยงระบบให้เจริญรุ่งเรืองยาวนาน โดยเน้นการผลิตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดเพื่อสร้างรายได้และชี้วัดความสุขความเข็มแข้งมั่นคงของสังคมด้วยเงินตราและมูลค่าสมมุติต่างๆ
คนไร้ที่ดิน
คณะทำงานศึกษาแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินฯ ที่ดินเป็นต้นทุนทางสังคมที่มีความสำคัญขั้นพื้นฐานต่อสิทธิในที่อยู่อาศัยและสิทธิในการทำกินอันมั่นคงของประชาชนและเกษตรกร  ที่ดินเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของการเป็นปัจจัยสี่ต่อการดำรงชีวิตของมนุษยชาติ เป็นฐานความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญ  เมื่อที่ดินในประเทศไทยนั้นไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้  หากไม่มีการกระจายการถือครองที่ดินให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม   ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งและเป็นปัญหาความมั่นคงของชาติ 
คนไร้ที่ดิน
  นรัญกร กลวัชรกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน  การหยิบยกประเด็นปัญหาที่ดินขึ้นมาพูดอีกครั้งของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะเรื่องโฉนดชุมชน และภาษีที่ดิน ได้จุดชนวนการถกเถียงในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน และการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมขึ้นมาอีกครั้งในสังคมไทย ไม่ว่าประเด็นปัญหาที่ดินจะเป็นประเด็นปัญหาที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ต้องการผลักดันแก้ไขอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นเพียงการขายฝันสร้างภาพพจน์รัฐบาลที่เป็นธรรมก็ตาม นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดี ที่สังคมจะได้ทำความเข้าใจในประเด็นปัญหาที่ดินทำกินในภาคชนบท อันเป็นปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย…
คนไร้ที่ดิน
โดย...ลูกสาวชาวเล  ถ้าเอ่ยถึงที่ดินริมทะเลแล้วหลายคนคงอยากมีและอยากได้ไว้ครอบครองสักผืนหนึ่ง พื้นที่ชายฝั่งภาคใต้ของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หมู่บ้านริมทะเลหรือบนเกาะแก่งน้อยใหญ่ของไทยที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมงพื้นบ้านถูกขายออกไปสู่มือนายทุนจำนวนมาก และส่วนใหญ่นายหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนมักจะเป็นคนในพื้นที่นั้นเอง ถ้าเราลองสอบถามผู้คนในหมู่บ้านริมทะเลว่ายังเหลือที่ดินเป็นกรรมสิทธิครอบครองอยู่อีกกี่ครอบครัว คำตอบที่ได้ทำให้รู้สึกหนักใจได้มากทีเดียว ส่วนใหญ่เหลืออยู่เพียงร้อยละ ๒๐ - ๓๐ เท่านั้นเอง ที่พอมีเหลืออยู่ก็เพียงแค่พื้นที่ปลูกบ้าน…
คนไร้ที่ดิน
เมธี สิงห์สู่ถ้ำ กองเลขาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย(คปท.) นโยบายแจก 2 พันบาทเป็นมาตรการที่เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศของรัฐบาล ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หลังการประชุมได้ข้อสรุปว่า ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับแจก 2 พันบาท ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 กลุ่มคนนี้ คือ กลุ่มแรก คือ ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งหมายถึง กลุ่มคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมปกติ หรือออกจากงานแต่ยังจ่ายสมทบต่อเนื่องด้วยตัวเอง ตามมาตรา 39 มีประมาณ 8 ล้านคน กลุ่มที่สอง คือ ผู้ที่เป็นบุคลากรของภาครัฐ…