Skip to main content
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข


เราต่างจบแล้วแยกย้ายกันไปทำงานตามโรงพยาบาล ฉันกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ เมื่อถึงเวลารับปริญญา ต่างคนต่างมาพบเจอกัน เราต่างดีใจ ดูทุกคนต่างมีความสุข เหมือนชีวิตแต่ละคนมีหนทางสว่าง เพื่อนๆแต่ละคนหน้าตาสดชื่น สวยงาม


วันนั้นเธอลงจากเชียงใหม่มาหาฉัน มาเดินเป็นเพื่อน ถือช่อดอกไม้ให้ พ่อและแม่ของฉันได้แต่ยืนมอง ทั้งสองคนรู้ว่าเราเป็นนักเรียนเรียนห้องเดียวกันมา เธออยู่กับฉันตลอดวัน ฉันมีความสุขที่สุดที่เราได้อยู่ใกล้กัน ทั้งที่เราสองคน มองไม่เห็นหนทางข้างหน้าว่าจะก้าวเดินไปอย่างไรดี เพียงแค่วันนี้ฉันดีใจที่มีเธออยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนกันเท่านั้น


คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง เราขับรถมอเตอร์ไซค์ ไปหาดสมิหรา ปูเสื่อ นั่งคุยกัน เราต่างพกพาหนังสือ มานั่งคุยกัน อากาศชายทะเลสดชื่น เย็นสบาย เสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ตรงหน้าเรา เหมือนเวลาไม่มีอยู่จริง เรานั่งอยู่ตรงนั้นจนเช้า เราคุยกันทุกเรื่อง


ฟ้าสว่างแล้วพระจันทร์ค่อยลับหายไป พระอาทิตย์ ค่อยๆโผล่มาจากทะเล ดวงกลมโต สีส้มสว่าง เธอบอกฉันว่า เธอจะเลิกเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว เธอจะเดินทางต่อ ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่เธอว่าคงมีหนทาง เอาใจช่วยเธอด้วยนะ ฉันยิ้มให้เธอ บอกว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ ตลอดไป


เธอกลับเชียงใหม่ ฉันกลับมาขึ้นเวรต่อ ตึกที่ฉันทำงาน เป็นตึกอายุรกรรมหญิง คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคเรื้อรังเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีเตียงเพียงสามสิบเตียงแต่คนไข้บางวันเพิ่มไปถึงห้าสิบ ต้องเสริมเตียงไว้รอบๆตึก ซึ่งน่ากลัวมากสำหรับคนไข้โรคหัวใจ เกือบทุกวันที่คนไข้เตียงเสริมหยุดหายใจจากหัวใจหยุดเต้น


พวกเราต้องลากเตียงเสริมเข้ามากลางตึกแล้วช่วยชีวิตคนไข้กัน เวลาปั๊มหัวใจต้องกั้นม่านเพราะไม่อยากให้ญาติคนไข้สะเทือนใจ แต่ทุกครั้งที่มีการช่วยชีวิต เราพยายามกันสุดความสามารถ เหงื่อของเราไหลโทรมไปทั้งตัว ยิ่งได้ยินเสียงญาติร้องไห้กันระงม หัวใจเราเต้นรัว หอบหายใจ ออกแรงสุดชีวิตเพื่อยื้อยุดคนไข้ไว้


แล้วเราก็ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจให้คนไข้ไว้ คนไข้นอนหลับสนิทแล้วค่อยๆ จากไป หลายครั้งที่เราทำทุกอย่างแต่ล้มเหลว จำได้ว่ามีคนไข้โรคหัวใจคนหนึ่ง หยุดหายใจ พวกเราต้องปั้มหัวใจอยู่นานถึงสี่ชั่วโมง เพราะเวลาที่เราจะปล่อยให้คนไข้จากไปอย่างสงบ พวกเราและหมอต้องตกใจที่เห็นคนไข้ขยับมือไปมาได้ เราต้องช่วยต่อ จนหมดแรงกันทั่วถึง


เมื่อครบสี่ชั่วโมง หมอบอกว่า ปล่อยให้คนไข้ไปสงบเถอะนะ ไม่รู้แกมีห่วงอะไรหรือเปล่า หมอเลยบอกคนไข้ว่า ไปที่ชอบนะ อย่าห่วงอะไรเลย ลูกสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ยกมือไหว้พวกเราทุกคนแล้วบอกหมอว่าขอบคุณหมอทุกคน เห็นแล้วว่าทำกันเต็มที่ขนาดนี้แล้ว แม่คงอยากหลับสบายจริงๆ ไม่อยากทรมานอีกแล้ว ขอบคุณจริงๆค่ะ


หมอซื้อน้ำมาเลี้ยงพวกเราทุกคนในเวร หลังเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้ ใส่สำลีในรูเปิดทุกส่วนของร่างกายคนไข้ เขียนชื่อนามสกุลติดที่หน้าอก ข้อมือขวา แล้วให้คนไข้นอนบนเตียง ปิดม่านไว้สองชั่วโมง ครบกำหนดให้ญาติมารับคนไข้ไปได้


ฉันชอบทีมงานที่มีอยู่ตอนนั้นมาก น้องพยาบาล และพี่ เป็นคนเก่ง มีน้ำใจน่ารัก พวกเรารักกันมาก ทำให้การทำงานลื่นไหล ฉันชอบทำงานมาก ขึ้นเวรรัวติดกันทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ขึ้นเสริมเวลาคนไข้หนักมีจำนวนมาก มีความสุขที่ได้ทำงาน ได้อยู่ใกล้ พูดคุยกันกับน้องพี่ ได้ทำงานร่วมกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย เหนื่อยด้วยกัน ชีวิตตอนนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากขึ้นเวร ลงมานอนที่แฟลต ไปวิ่งที่สนามกีฬาหลังโรงพยาบาลตอนเย็นหนึ่งชั่วโมง แล้วขึ้นเวร ขึ้นเวรเท่านั้น


พวกเราเหมือนช้างศึก เมื่อลงสู่สนามรบแล้วต้องสู้สุดชีวิต หากทีมดีเรามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว อีกครึ่งเราต้องสู้ฝ่าฟัน แต่จะกลัวอะไรกับความเหนื่อยยาก เมื่อเรามุ่งมั่นต้องสำเร็จเสมอ ในเมื่อพวกเรามัดใจกันไว้อย่างเหนียวแน่น


เหมือนเราต่างจับมือเดินฝ่าความทุกข์ไปด้วยกัน ฉันอยากเห็นภาพอย่างนี้ในทุกที่ของโรงพยาบาล แม้จะเป็นแค่หวัง ฉันยังหวังให้สิ่งดีเกิดในวิชาชีพพยาบาลที่งดงามของเราเสมอมา มันช่างก่อให้เกิดความสุขล้นใจของเรา คนไข้ยังได้รับอานิสงฆ์ด้วย ได้รับสิ่งดีๆจากพวกเรา นับเป็นการสร้างกุศลยิ่งใหญ่แล้ว


เมื่อเราต้องทำอยู่แล้ว ทำให้ดีที่สุด แล้วผลจะเป็นเลิศเองแน่นอน ความหวังของฉันคงกลายเป็นจริงสักวัน ฉันคงมีความสุขมากที่ได้รู้ว่า พยาบาลรักกันอย่างเหนียวแน่น จริงใจ ผูกพัน ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขและรุ่งโรจน์ มันช่างน่าภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นพยาบาลในชาตินี้ ได้ทำงานเหมือนได้ทำบุญตลอดไป

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …