Skip to main content

เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย

\\/--break--\>
แต่เธอได้เลือกแล้ว เธอเลือกทางทุกข์ เธอรู้ว่าต้องพบเจอกับอะไรบ้างเจ็บปวดสักเพียงไหน เธอก้มหน้ายอมรับมันอย่างคนที่ไม่กลัวความทุกข์ยาก เธอยินยอมที่จะกล้ำกลืนทุกข์อย่างเต็มใจ ทางที่เธอเลือกเดิน สว่างเรืองรองอยู่ในความมืดมิด มันส่องประกายวับวามบอกเธอในทุกคืนวัน แม้จะทุกข์ยาก แม้จะลำบากยากเย็น เธอไม่เคยท้อ ยิ่งปวดร้าว เธอจะยิ่งทุ่มเท ราวกับว่า โลกใบนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ความรักและความฝันของเธอ


เธอรู้ว่าเมื่ออุทิศตัวเพื่อความฝันแล้ว ทั้งชีวิตและวิญญาณก็ไม่หลงเหลืออะไรเพื่อสิ่งใดอีก เธอบอกฉันว่า ความจริงมีไว้รองรับน้ำตาใต้หมอนเท่านั้น หากเมื่อเราลุกขึ้นมาแล้ว มีแต่ความฝันเท่านั้น ที่เจิดจ้าและส่องประกายงดงาม พาเธอก้าวฝ่าข้ามผ่านทุกอย่าง เพื่อมาเป็นวันนี้ วันที่เธอเลือก


เธอยังคงเขียนเพลง เพลงของเธอบอกให้โลกรู้ถึงความงามของผู้คน ความงามของสิ่งรอบตัว ฉันถามเธอว่า ในขณะที่ชีวิตเธอลำบากทุกข์ยากเหลือเกินนั้น เธอเขียนหนังสือ เขียนเพลงจากส่วนไหน จากดวงตาของเธอหรือเปล่า


เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ส่องประกายงดงามออกจากร่างกายเธอ แม้มันจะดูเศร้า เปลี่ยวเหงา และปวดร้าวเหลือเกิน ประกายตาของเธอมาจากดวงจิตของเธอเป็นดวงจิตที่อุทิศแล้ว ถวายชีวิตเพื่อสิ่งฝัน เพราะฉะนั้นเธอจึงมองข้ามความทุกข์ของชีวิตได้ ก้าวข้ามทุกอย่างอย่างมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงวันนั้น วันของเธอ


เธอลงมาจากเชียงใหม่ด้วยรถไฟหลังโทรมาหาฉัน เธอหอบหนังสือมาหาฉันเช่นเคย เป็นช่วงที่เกิดพฤษภาทมิฬ เธอแวะที่สนามหลวงอยู่สี่วัน เธอบอกว่านั่งนอนกลางถนนราชดำเนิน ร้อนมากเป็นช่วงวันที่ 17-20พฤษภา2535 หลังจากนั้นเธอลงจากกรุงเทพแล้วมาหาฉันที่หาดใหญ่ด้วยใบหน้าที่เกรียมแดด เสื้อผ้าขะมุกขะมอม เธอมาเล่าเรื่องเหตุการณ์ในพฤษภาทมิฬให้ฉันฟัง


แล้วเราสองคนก็พากันไปม็อบที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา ปูเสื่อแล้วนั่งนอนอยู่ในกลุ่มม็อบนั้น เธอขึ้นเวทีร้องเพลง คือเพื่อน หลังเธอลงจากเวที เราคุยกันถึงหนังสือ การเมืองและเรื่องชีวิต เหมือนเราหลอมรวมทุกเรื่องไว้ในเรื่องเดียว ตลอดหนึ่งสัปดาห์เรากินนอนกลางม็อบอยู่ในตัวเมืองสงขลา จนถึงเวลาเธอกลับหลังม็อบยุติลง เธอเตรียมตัวกลับเชียงใหม่


ก่อนกลับ เธอบอกฉันว่า หากเธอหายไปนานๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เธอออกเดินทาง จะติดต่อมาเองเสมอ เราเป็นเพื่อนกัน ไม่ทอดทิ้งกันนะ ฉันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


ฉันกลับมาขึ้นเวรต่อ พี่น้องและเพื่อนๆที่ทำงานพากันหัวเราะที่เห็นหน้าเกรียมแดดของฉัน พวกเขาบอก รู้แล้ว ไปม็อบมาแน่ๆ มีหนุ่มมารับไปหล่ะสิ หายไปเลย


แผนกอายุรกรรมที่ฉันทำงานอยู่ในตอนนั้นแบ่งเป็นสามตึก อายุรกรรมหญิง อายุรกรรมชายและตึกสงฆ์อาพาธที่รับทั้งพระที่ป่วย ฆราวาสที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมอง และผู้ป่วยติดเชื้อเช่นโรคเอดส์ หรือโรคติดเชื้ออี่นๆ เช่น ตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค เป็นต้น


พวกเราหลายสิบชีวิต หมุนเวียนกันขึ้นเวรทั้งสามตึก จึงรู้จักกันหมดทั้งแผนก ความผูกพันเกิดมาจากการร่วมทุกข์ร่วมสุข พี่ๆมักจะเอาขนม ของฝากมาฝากน้องๆเสมอในเวลาที่กลับบ้าน หรือไปตลาดเห็นขนมแล้วคิดถึงพวกที่อยู่เวร ก็แวะเอามาฝาก คนกินก็ชื่นใจเพราะในเวรยุ่งแสนยุ่ง บางคราวแทบจะไม่มีเวลากินข้าวเพราะคนไข้อาการหนักมีจำนวนมาก พวกเราอาศัยความอึด ยึ้อทำงานกันให้เสร็จก่อนเสมอแล้วค่อยนั่งลงกินกัน บางคราวขนมของกินเต็มโต๊ะ เดินผ่านห้องครัวถึงกับน้ำลายไหล แต่พวกเราฝึกความเพียร รอจนงานคลายลง คนไข้พักและบรรยากาศสงบแล้ว ถึงได้นั่งลงกินข้าวกัน


เมื่อเวลาผ่านไป พวกเรายิ่งผูกพันกัน รู้จักกันทั้งครอบครัว บ้านใครมีงานเราจะแลกเวร ไปช่วยงานกันทั้งงานบวช งานแต่งงาน กินนอนที่บ้าน ทำให้สนิทกันไปถึงครอบครัว รู้จักพ่อแม่ของพี่ๆน้องๆได้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามโอกาส


ทุกสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างคุณธรรมน้ำมิตรที่เกิดจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขของเพื่อนร่วมงาน การได้ทำงานร่วมกัน ก่อให้เกิดความรักที่ยิ่งใหญ่ พวกเราต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยเหมือนเราเป็นญาติ เป็นพี่น้องร่วมพ่อร่วมแม่กันเลยทีเดียว


ฉันมีความสุขอย่างล้นเหลือ ได้เป็นน้องในตึก ได้อ้อนพี่เวลาที่เราเหนื่อย พี่จะคอยดูแลเอาใจ ได้เป็นพี่ของน้องหลายคนที่รักเราเหลือเกิน ช่วยเหลือดูแลเราทุกอย่าง ฉันอยากให้ชีวิตหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะเห็นแล้วว่าความสุขจากการทำงานเป็นความสุขที่สุดแล้ว


หากแต่ชีวิตไม่เคยมีเพียงด้านเดียว ถึงเวลาของการเรียนรู้การจากพรากบทที่หนึ่ง ฉันถึงกับร้องไห้อย่างเสียศูนย์ เมื่อต้องจากทั้งพ่อแม่ และพี่น้องๆทุกคนไป วันของการจากลารออยู่ข้างหน้า ฉันไม่เคยรู้และไม่เคยคิดถึงมันเลย เป็นสัจธรรมที่สอนบทเรียนให้ฉันสำนึกและเข้าใจอย่างถ่องแท้

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …