Skip to main content

ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก


เจ็ดวันที่ผ่านมาฉันจึงนอนอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา ฉันยังนอนไม่หลับมาตลอดนับจากวันที่ฉันแพ้ยา เพียงแค่นอนหลับตาอยู่บนเตียงเท่านั้น อาการนอนไม่หลับของฉันช่างสุดแสนทรมาน นอกจากข้าว น้ำและผลไม้อย่างละนิดละหน่อยแล้ว ฉันแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย เมื่อน้องสีเหลืองมาชั่งน้ำหนักฉันจึงรู้ว่าน้ำหนักฉันหายไปแปดกิโล


ฉันลุกเดินกระย่องกระแย่งไปเข้าห้องน้ำ เธอลุกขึ้นมาประคองฉัน เมื่อสบตาเธอ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความปวดร้าว ฉันเห็นความกลัวแวบออกมาจากตาเธอ ฉันรู้ว่าเธอคงกลัวว่าฉันจะจากเธอไป ทิ้งให้เธอและเทวดาน้อยอยู่กันตามลำพัง เธอคงไม่แน่ใจว่าฉันจะรอดหรือเปล่า ดูจากร่างกายฉันแล้วเธอคงคิดว่าคราวนี้ฉันคงไม่รอดแน่ เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ฉันดึงมือเธอไปกอดไว้ บอกเธอว่า ฉันจะอดทนนะ อดทนและสู้ต่อ


เวลาแห่งการอยู่ร่วมกันของเราผ่านมาถึงปีที่สิบห้าแล้ว ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาของเราอยู่ในใจฉันเสมอ เธอคงคิดว่าเมื่อไรหนอเราจะมีวันที่ดีของเราอีก ตั้งแต่การอยู่ร่วมกันของเราแบบหันหลังชนฝาเพื่อสู้กับทุกอย่างมาด้วยกัน ความสุข ความทุกข์และทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้วันที่เราสูญเสียนางฟ้าไป เราทั้งสามคนพ่อแม่ลูกที่ยังเหลืออยู่ ยังกัดฟันสู้กับความทุกข์แบบคนที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด มาถึงวันนี้ ฉันอีกคนหนึ่งที่เธอคิดว่า เธอกำลังจะสูญเสียฉันไป เธอจะทนไหวได้อย่างไรเล่า


ฉันเห็นเธอฟุบหน้าลงบนฝ่ามือ ฉันบอกเธอว่าอย่ากลัวไปเลย ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ วันนี้ของเรายังเป็นเวลาที่เรายังอยู่ด้วยกัน เรายังจับมือกันไว้ นะคนดี อย่ากลัวไปเลย วินาทีนี้ฉันยังอยู่ข้างๆเธอ ฉันยังลุกขึ้นเดินสู้กับความเจ็บปวดและเวทนาของสังขาร ฉันยังทนได้ เธออย่าหวาดหวั่นไปเลย ฉันจะเข้มแข็งให้ถึงที่สุด


เธอบอกว่าเธอสงสารฉันเหลือเกิน ทำไมหนอโลกถึงได้โหดร้ายนัก เธออยากให้ฉันหายเจ็บปวด หายทรมาน หายเสียนะ หายเสียที แล้วจะพาฉันไปนอนที่เชียงดาว ในกระท่อมที่ฉันชอบ ไปฟังเสียงน้ำไหลด้วยกันนะ เธอพร่ำบอกฉันเหมือนคนเพ้อ จากคนที่ไม่พูด เธอกลายเป็นคนพูดมาก เหมือนจะละลายสิ่งที่กลัวในใจ


ฉันจึงบอกเธอว่า หากฉันดีขึ้นแล้ว เราคงได้ไปด้วยกันทุกที่ที่เธอจะพาฉันไป เธอจำได้ไหม เมื่อคราวที่ เธอหอบฉันเข้าป่าไปตามหาตือโพ ศิลปินป่าที่แถวดอยอินทนนท์ ดึกอย่างนั้น ฉันกลัว ป่ามืดครึ้มมีเพียงจันทร์เสี้ยวที่ส่องสว่าง เธอขับรถบุกตะลุยไป ฉันนั่งเงียบกริบอยู่ข้างๆ เธอ ในใจภาวนาให้ถึงบ้านตือโพเร็วๆ ถึงทางเข้าบ้านเราต้องลงเดินขึ้นดอยต่อเข้าไปอีกนานจนเหนื่อยหอบ เพื่อพบกับความว่างเปล่า ตือโพไม่อยู่ เราจากลงมาฝากบอกธุระของเธอไว้กับผู้ใหญ่ข้างล่าง


หลังกลับมาจากไปตามหาตือโพคราวนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในหัวใจที่หนักแน่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ฉันชอบป่าแถบนั้น มันลึกลับน่ากลัวแต่อบอุ่น เธอยิ้มให้ฉันเมื่อฟังฉันพูด ฉันอยากให้เธอผ่านวันที่หวาดกลัวไปเร็วๆ


เธอชอบพาฉันและนางฟ้าไปนอนริมแม่น้ำเงา นอนฟังเสียงแม่น้ำไหล กางเต้นท์ ฉันและลูกหลับรออยู่บนรถ จนเธอกางเต้นท์เสร็จหลังปูผ้าห่มแล้ว เธอจะอุ้มนางฟ้าเข้าไปนอน ฉันเดินตามเธอแล้วคลานเข้าเต้นท์ นอนกอดนางฟ้าไว้ เธอจะก่อกองไฟ นั่งอยู่อย่างนั้นทั้งคืนกับกาแฟแก้วไม้ไผ่ในมือ เมื่อแดดเช้ามาเยือน นางฟ้าจะลุกออกจากเต้นท์แล้วเรียกหาพ่อ น้ำไหลอยู่ตรงไหนกันคุณพ่อขา นางฟ้าถาม เธอมาอุ้มนางฟ้า ไปริมน้ำ นั่งดูเงาต้นไม้ ลงเล่นน้ำกันสนุกสนานทั้งพ่อและลูก นางฟ้านั้นหลังคลอดได้เพียงหนึ่งเดือน เธอก็ออกเดินทางมาตลอด เธอชอบที่สุดที่จะได้นอนกลางป่า


ฉันนึกถึงตอนที่คลอดลูกทั้งสองคน ต้องผ่าตัดออกทางหน้าท้องทั้งคู่ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เธอสบตาฉันแล้วน้ำตาคลอบอกฉันว่า เดี๋ยวเราจะได้พบลูกเราแล้ว อย่าลืมออกมาจากห้องผ่าตัดนะ ขอให้โชคดี แล้วฉันก็ออกมาทุกครั้งอย่างปลอดภัย ฉันรู้ว่าเธอจะยืนคอยฉันอยู่ตรงหน้าห้องผ่าตัดเสมอ ฉันออกมาเพื่ออยู่กับเธอ ช่วยกันเลี้ยงนางฟ้าและเทวดาน้อยของเรา


เทวดาน้อยก็ชอบนอนกลางป่าเช่นกัน เธอผูกเปลให้เราสองคนแม่ลูกนั่งนอนอยู่ริมน้ำ แม้วันเวลาที่เราเคยได้อยู่กับนางฟ้าจะหลอกหลอนหัวใจเรา บางเวลาฉันแอบนอนร้องไห้ สะอื้นอยู่ในเปลผ้าริมน้ำ ในหัวใจเรียกหานางฟ้า ในที่ที่เราเคยได้กอดกัน หากแต่เราต่างพยายามกล้ำกลืนความคิดถึง ใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อเทวดาน้อยต่อไป


อีกกี่วันหนอที่ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันพยายามที่จะไม่นึกถึงมัน ตอนนี้ฉันยังลุกเดินได้อยู่ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดไปทั้งตัว ฉันลุกมานั่งบนเก้าอี้ มึนหัวจนต้องพิงฝาห้องไว้ เธอมองฉันนั่งหลับบนเก้าอี้ ถามฉัน อยากกินอะไรบ้าง ฉันลืมตา ยิ้มให้เธอ พร้อมส่ายหน้าและหลับตาต่อไป

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …