Skip to main content

วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน

ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย


พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก


หลังเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว พ่อนอนหลับ เหมือนพ่อสะเทือนใจกับการจาก พ่อเลือกหลับไปเสียดีกว่าที่จะรับรู้ หรือจะเป็นฤทธิ์ยาที่หมอให้ พ่อหลับลึก จนฉันอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เอากระเป๋ามาวางไว้ที่โซฟาคนเฝ้าไข้ พ่อยังหลับอยู่อย่างนั้น มีฉันนั่งมองพ่ออยู่อย่างนั้น


นึกถึงวันที่ฉันยังเด็ก พ่อต้องไถนาตั้งแต่รุ่งสางไปจนเย็นย่ำ ในทุ่งกว้างใหญ่ ฉันเห็นพ่อเพียงลำพังกับรถไถ คันเดิม พ่อเดินวนอยู่ในนาจนค่ำมืด เดินตามล้อรถไถจนเหนื่อยอ่อน กระท่อมเล็กๆริมคันนาใกล้ทุ่งนาสีเขียวอ่อนใต้ต้นตาลนั้น ก็เป็นฝีมือพ่อสร้าง นาของพ่อเต็มไปด้วยต้นข้าวสียอดตองเต็มแน่น


พ่อกับแม่ออกไปกรีดยางในตอนดึก ก่อนออกไป แม่เขียนโน๊ตด้วยลายมือโย้เย้ตัวหนังสือโตๆบนกระดาษสมุดของลูกพร้อมเงินยี่สิบบาท เป็นค่าขนมไปโรงเรียนของพวกเราทุกคน ฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากปลุกพวกเรากลางดึก แม่ใช้วิธีสื่อสารแบบนี้จนพวกเราโต แผ่นกระดาษวางไว้ที่หน้าตู้กระจกเครื่องแป้ง บอกว่าให้ฉันเอาข้าวห่อไปส่งให้พ่อด้วย


พ่อตัดยางเสร็จตั้งแต่เช้ามืด ก็ไปไถนาต่อ ฉันลุกมาหุงข้าวตั้งแต่ตีสี่ หยิบลายมือแม่มาอ่านแล้วร้องไห้ ฉันกลัวไปโรงเรียนไม่ทัน ทั้งที่โรงเรียนอยู่หน้าประตูบ้านของเรา แต่นาพ่ออยู่ไกลลิบ ฉันกลัว ฉันจึงเริ่มต้นร้องไห้ตั้งแต่ตีสี่เป็นต้นไป


หุงข้าว ทำกับข้าว ร้องไห้ไปด้วย


ฉันตักข้าวใส่หม้อหิ้วและแกงใส่ถ้วยใบเล็กวางลงไปด้วย ฉันปั่นจักรยานออกมาอย่างเร็ว จอดจักรยานไว้ริมคูน้ำ เมื่อถึงทางที่ตัดเข้าไปในทุ่งนาพ่อ ก็เดินลงไปในคันนา ฉันวิ่งหิ้วหม้อไปบนคันนากว้างขนาดสองศอก ฉันตาลายด้วยความรีบร้อน สะดุดคันนาหกล้มลงไปนอนในนาพร้อมหม้อข้าว เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลน แต่ฉันไม่สนใจ รีบลุกขึ้นแล้วออกวิ่งต่อ


ถึงนาที่พ่อไถอยู่ แค่มองปราดเดียว พ่อก็รู้ว่าฉันตกคันนามา พ่อหัวเราะ แต่ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้ำตามันออกมาปริ่มเต็มลูกตา หม้อข้าวของพ่อเลอะเทอะไปด้วยโคลน พ่อมองหน้าฉัน รีบบอกฉันว่าวางไว้ที่กระท่อมนั่นแหละลูก รีบไปโรงเรียนนะ อาบน้ำดีๆ ล่ะ โคลนเลอะเต็มตัวเลยลูก


ฉันวิ่งกลับทางเก่าอย่างเร็ว ถึงที่จอดจักรยานไว้ ปั่นมันสุดแรง รีบไปให้ถึงบ้าน อาบน้ำแล้ววิ่งไปโรงเรียน ฉันมารู้เมื่อฉันโตขึ้นแล้ว แม่บอกว่า ข้าวในหม้อหิ้วที่ฉันเอาไปให้พ่อวันนั้น ข้าวบูดเพราะแกงกับข้าวหกเทราดมากองรวมกัน พ่อกินข้าวบูดนั้นโดยไม่บ่นว่าสักคำ


แม่รู้เพราะพ่อถามหายาแก้ปวดท้อง พ่อคงนึกสงสารฉันที่ต้องไปส่งข้าวให้พ่อ

จึงบอกแม่ว่า ไม่ต้องให้ลูกไปแล้ว พ่อเอาข้าวสารอาหารแห้งไปหุงเองที่ริมคันนา ลูกจะได้ไม่ต้องลำบาก


ฉันนึกสงสารพ่อจับใจ หลังจากที่รู้ว่าพ่อต้องกินข้าวบูด


พ่อตื่นมาแล้ว หมอมาทำแผลให้พ่อเหมือนเคย อีกสองวันกลับบ้านได้แล้วครับ

เอายาแก้อักเสบไปกินต่อ อย่าลืมไปทำแผลต่อทุกวัน แล้วหมอจะนัดมาดูอีกทีนะครับ


พ่อกับฉัน เราต้องแยกออกจากกันแล้ว ฉันเดินขึ้นรถไฟมุ่งไปทางเหนือ อีกสองวันหลังจากฉันกลับ พ่อจะหันหลังแล้วบ่ายหน้าลงไปทางใต้ แม้หัวใจของฉันแสนเศร้าแต่หนึ่งเดือนที่พ่อทนทุกข์มานั้น วันนี้ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันหวังมาตลอดคือการได้อยู่กับพ่อ อยู่ใกล้พ่ออย่างแท้จริง


หลังกราบไหว้พ่อนิ่งนาน ฉันนิ่งฟังพ่อพูด รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก ไปเถอะ พ่อขอบใจที่ลูกมาอยู่กับพ่อ ถ้าพ่อดีขึ้น พ่อจะไปเยี่ยมลูกเอง ฉันเช็ดน้ำตาแล้วหยิบกระเป๋ามาสะพาย ฉันบอกพ่อว่า พ่อด้วยนะ รักษาเนื้อ รักษาตัว คราวหน้าเราคงเจอกันที่บ้าน ไม่ใช่โรงพยาบาลนะพ่อนะ พ่อตอบฉันว่า แน่นอนลูกเจอกันที่บ้าน โชคดีลูกเอ๋ย แล้วพ่อก็กอดฉันไว้แน่น หอมหน้าผากแล้วบอกว่าไปเถอะลูก


ฉันหันหลังเดินจากมา ถ้ามองผ่านผนังเข้าไปในห้องได้ ฉันคงเห็นพ่อร้องไห้

พ่อคงเช็ดน้ำตาเหมือนฉันที่เดินก้มหน้าร้องไห้มาตลอดทางจนถึงรถ แม่บอกฉันว่า พ่อร้องไห้ทุกครั้งที่จากลูก ฉันนั่งเงียบมาตลอดทางบนรถน้องชายจนถึงสถานีรถไฟ เอ่ยปากบอกน้องฝากดูแลพ่อด้วย


พลบค่ำฉันโทรศัพท์กลับไปหาพ่อในตอนที่รถออกจากสถานีแล้ว รถไฟวิ่งตัดผ่านทุ่งข้าว เสียงล้อรถกระทบรางเสียงดัง ฉันบอกพ่อว่าอยู่บนรถแล้ว พ่อเป็นอย่างไรบ้าง พ่อตอบฉันว่าสบายดี พ่อกินข้าวแล้ว ลูกล่ะกินข้าวหรือยัง ฉันตอบพ่อว่าอิ่มแล้ว เราคงเข้านอนพร้อมกัน ถึงเช้าแล้วจะโทรมาหาพ่อใหม่


ก่อนหลับตาลงฉันสวดมนต์ ภาวนาให้พ่อได้กลับบ้าน อย่าให้มีอะไรมาทำให้พ่อต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกเลย เพราะฉันรู้ว่า พ่อคงเศร้าที่เราจากกัน หากได้กลับบ้าน พ่อคงดีขึ้น อย่างน้อย พ่อคงนอนหลับสนิทบนแคร่ตัวที่พ่อชอบ พ่อคงหลบไปเดินวนเวียนในสวนยาง ไปในทุ่งนา นั่งในขนำที่พ่อทำขึ้นที่ริมทุ่ง แล้วมองออกไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง