Skip to main content

ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม


มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ


ค่ำนั้นบ้านไม้ผุๆที่พวกเราสิบคนนอนมีเพลงกล่อมด้วยสำเนียงเหน่อๆและท่าทางขี้อาย หัดเล่นได้ไม่นาน ทนฟังกันหน่อยนะครับ เธอบอก หลังจากค่ำนั้นผ่านไป เธอมีที่นอนใหม่เป็นหน้าระเบียงบ้านของฉันและเพื่อน เสียงเพลงดังกังวานผ่านความมืดทุกค่ำคืนจนกว่าคนร้องจะหลับหรือหมดแรง พวกเรามักจะนอนดูดาว ทำรายงานและคุยกันเสียงดัง


เธอจะร่วมวงทันทีที่มาถึงหลังเลิกเรียน


พวกเราอยู่เวรกันทั้งสิบคนหมุนเวียนกันไปในแต่ละคืน เวรทำคลอด เย็บแผลในห้องฉุกเฉิน ยามในโรงพยาบาลจะเป็นคนเดินมาตามเราแต่ละคนในเวรตามคำสั่งของพี่พยาบาล หลังจากเธอย้ายที่นอนจากบ้านมาเป็นระเบียงไม้หน้าบ้านฉันแล้ว เธอก็เป็นคนเดินมาส่งพวกเราถึงในตึกทุกคืน ไม่เป็นไรครับ เดินมาจนหลับตาเดินก็ยังถูกแล้วครับ เธอตอบหลังที่พวกเราบอกเกรงใจที่เธอต้องตื่น


เธอขลุกอยู่กับพวกเราจนสามารถฟังศัพท์พยาบาลที่ยากๆได้ รู้รหัสลับบางอย่างของพวกเรา ร่วมวงคุยได้อย่างไม่ขัดเขิน จนวันหนึ่งโรงพยาบาลจะทุบบ้านหลังที่เราอยู่เพื่อสร้างตึกใหม่ พวกเราต้องย้ายออกมาอยู่ในบ้านจัดสรรที่อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาล บ้านหลังนั้นยังสร้างไม่เสร็จ แต่ห้องที่พวกเราอยู่สองห้องในบ้านมีประตูเรียบร้อย พวกเราต้องเดินไกลมากขึ้นเพื่อมาเข้าเวร เนื่องจากถนนมืดและรถสิบล้อมักจะวิ่งผ่านด้วยความเร็ว พวกเราและเธอ สิบเอ็ดคนจึงเดินมาส่งเพื่อนทั้งคืนเพื่อเข้าเวรและรับกลับบ้าน


เธอเป็นคนนอนที่หน้าประตูห้อง เธอบอกว่า พวกพี่ๆจะได้ปลอดภัย พวกเราหัวเราะกันแล้วบอกว่าถ้าโจรเข้าบ้านจริงๆ เธอคงสู้โจรไม่ไหวหรอกเพราะเธอผอมออกอย่างนั้น


เธอกินนอนอยู่ที่บ้านหลังนั้นหลังเลิกเรียน จนแม่เธอออกปากถามถึงกับเพื่อนฉันว่าเธอสบายดีไหม ไม่ยอมกลับบ้านเลยนะ เป็นยามเฝ้าสาวๆจนลืมแม่เลย พวกเราฟังแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน เธอได้แต่ยิ้มรับเมื่อฉันบอก กลับบ้านบ้างนะ เดี๋ยวแม่น้อยใจตัดขาดจากกองมรดกเลิกส่งเรียนจะลำบาก


เธอขยันร้องเพลง ซ้อมดนตรี บ้านที่พวกเราอยู่ มีเพลงของเธอกล่อมทุกเย็นไปจนดึกดื่น เสียงเพลงกังวานผ่านความเงียบ ทุกครั้งเธอหลับพับไปกับกีตาร์ตัวเดิม บางคืนที่ตื่นมากลางดึกฉันเห็นเธอนอนหลับแล้วกอดกีตาร์ไว้ และไม่ว่าเธอจะกลับดึกอย่างไร เมื่อแดดเช้ามาถึง เธอก็อยู่ในชุดนักเรียนแล้ว


ผ่านมายี่สิบห้าปีแล้ว น้องชายที่รัก เธอยังเดินหิ้วกีตาร์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ตัวเดิม แต่ฉันรู้แล้วว่า เธอมั่นคงในรักและแน่วแน่ในความฝันของตัวเองเสมอ


พวกเราทั้งสิบคน อยู่โรงพยาบาลฝึกงาน ทำคลอด เย็บแผล ออกหน่วย เยี่ยมบ้าน บางคราวต้องเดินไปไกลผ่านทุ่งนาเวิ้งว้าง เหนื่อยเสียจนแทบจะเดินกลับไม่ไหว ถึงบ้านพัก พวกเราจะนอนหมดแรงอยู่หน้าบ้าน เธอจะเป็นคนสุดท้ายที่นอนลงต่อจากพวกเรา


สามเดือนของการฝึกงานสิ้นสุดลง พวกเราขนของใส่ท้ายรถสองแถวที่เหมาไว้ให้ไปส่งที่หอพักของมหาวิทยาลัย เธอเป็นหนุ่มน้อยคนเดียวที่นั่งเกาะท้ายรถ บอกแม่ว่าไงหนุ่มน้อย เพื่อนฉันเอ่ยปากถาม เธอยิ้มบอกว่าไปส่งพี่สาวครับ ไกลนะ กรุงเทพเชียว กี่วันเนี่ยกว่าจะกลับบ้าน เพื่อนฉันรำพึง เธอยิ้มแล้วเงียบ


หลังจากพวกเราเรียนจบ ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ทุนตามโรงพยาบาลที่เราเลือกก่อนที่จะมาเรียน วันรับใบปริญญา ฉันและเพื่อนสามคนมีเธอเป็นญาติคนเดียวที่วิ่งตามคอยซื้อน้ำให้ ถ่ายรูป ถือของ ให้ช่อดอกไม้ เป็นคนเดียวที่นั่งรอจนกระทั่งพวกเราเดินออกจากหอประชุม พลบค่ำวันนั้น เราทั้งสี่คนไปกินข้าวเย็นและฟังเพลงในร้านที่เธอเลือก


เราบอกลากันในวันรุ่งขึ้น เธอบอกฉันว่า เธอจะมาเรียนต่อที่กรุงเทพและถ้าจบแล้ว เธอจะไปเล่นดนตรีที่ใกล้ๆโรงพยาบาลที่ฉันอยู่ แต่มันไกลนะ เธอจะกลับบ้านอย่างไร ฉันบอกเธอ เธอหัวเราะแล้วบอก ก็ไม่ต้องกลับ


เหมือนชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ วันคืนที่ผ่าน เรามองไม่เห็นเรื่องราวความทุกข์ หัวใจเราเบิกบานมีแต่สิ่งดีที่เราหวังอยู่เต็มเปี่ยม สิ่งที่เราพูด หรือสิ่งที่เราหวัง มันไม่มีอะไรง่ายอย่างนั้น ถึงตอนนี้ เราต่างรู้ เมื่อวันคืนล่วงไป


ฉันกลับมาทำงานในโรงพยาบาลที่ฉันเลือก เธอกลับไปเรียนต่อที่บ้าน หลังจากนั้นเธอก็ไปเรียนที่กรุงเทพ จนเธอจบ เธอโทรมาบอกฉันในค่ำวันหนึ่ง เธอจะมาทำงานและเล่นดนตรีที่จังหวัดที่ฉันอยู่ เธอจบด้านก่อสร้างมา เธอมั่นใจแล้วนะ ฉันถาม เธอบอกมั่นใจสิ เธออยากได้ทำในสิ่งที่เธอหวัง ฉันเอาใจช่วยก็แล้วกัน


หนุ่มน้อยเธอหิ้วกีตาร์มาหาฉันในบ่ายวันหนึ่ง ในถุงกระดาษใบที่หิ้วมา มีเนื้อร้องและทำนองของเพลงที่เธอร้องมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความฝันอยู่ในมือของเธอแล้ว เธอได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอหวัง เสียงหัวเราะของเธอดังกังวานก้องแฟลตเล็กๆของฉันในบ่ายวันนั้น


บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …