Skip to main content

ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง


ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา


ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด ที่คนสนามหลวงฟังเพียงไม่กี่คนกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและมีผู้คนรับรู้ไปทั่วบ้านทั่วเมืองและเป็นเหตุให้เขาต้องออกถูกออกหมายจับ เข้ามอบตัวโดยนำฝูงชนไปปิดล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล ข่มขู่ไปต่าง ๆ นานาหากไม่ยอมให้ประกันตัว


ถ้าหากสิ่งที่ ดา ตอร์ปิโด พูดปราศรัยเป็นเรื่องดี ๆ ที่น่ายกย่องสรรเสริญก็ควรที่จะเผยแพร่ให้คนทั่วไปจะได้รับรู้ แต่หากสิ่งที่ ดา ตอร์ปิโด กล่าวบนเวทีสนามหลวงนั้นเป็นอะไรที่ตรงกันข้าม การช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ทั่วประเทศโดยกลุ่มพันธมิตร ฯ จึงเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง


ถ้าม็อบพันธมิตรฯ เห็นว่า ดา ตอร์ปิโด หมิ่นเบื้องสูงก็สามารถร้องเรียนกับตำรวจได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องนำคำพูดของเธอ มาเล่าซ้ำให้ผู้ชุมนุมและคนทั้งประเทศฟัง แต่เหตุใดเล่าที่สนธิ ลิ้มทองกุล จงใจจะเล่าเรื่องนี้ซ้ำ


ต้องการวาดภาพสร้างจินตนาการเชื่อมโยงการกระทำครั้งนี้ เข้ากับกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามแบบที่เขาถนัด ?

หรือต้องการ “สร้างความจริง” ว่าด้วยเรื่อง “สาธารณรัฐ” ที่เขาโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอด ?

หรือว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีเจตนาที่จะหมิ่นสถาบันเบื้องสูงโดยอาศัย “ปาก” ของคุณดา ตอร์ปิโด ?


สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดคำพูดของ ดา ตอร์ปิโดเท่านั้น หากแต่นำคำพูดนั้นมาขยาย เพิ่มเติม ใส่ไฟ ปั้นน้ำเป็นตัว ปลุกระดม เพื่อเร้าอารมณ์รวมหมู่ให้เกิดความรู้สึกคลุ้มคลั่งตามแบบของพวก “ฝ่ายขวา” ที่มักนำเอาเรื่องชาติ (เขาพระวิหาร) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาเล่น


การที่สนธิ ลิ้มทองกุล นำเรื่องนี้มาเล่น และขยายจนเกินจริงนั้น เขามีจุดประสงค์เพื่อต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จริงหรือ ?


ความจงรักภักดี ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเรื่องที่น่าสงสัย ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาว่าด้วยเรื่อง “สองไม่ยืน” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็เคยตั้งข้อกังขาในเรื่องนี้ไว้เช่นกัน


อันที่จริง สนธิ ลิ้มทองกุล มีปัญหาเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยหลาบจำ ในทางตรงข้ามดูเหมือนว่า ”เรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน” นั้น เขามีความนิยมเป็นพิเศษ เขาไม่เคยจะละเว้นให้ผ่านไปโดยไม่นำมาขยายผลหรือทำให้เป็นประเด็น


จุดประสงค์หรือเจตนาของสนธิ ลิ้มทองกุล ในการเผยแพร่ ทำซ้ำ กระทั่งดัดแปลง คำพูดของดา ตอร์ปิโด นั้นคืออะไรกันแน่ ?


เจตนาแท้จริงของสนธินั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ บางทีเขาอาจไปไกลเสียจนถึงจุดที่ตัวของเขาเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเจตนาของตนเองคืออะไร บางทีคนเราเมื่อได้รับความกดดันมาก ๆ หรือต้องต่อสู้มาก ๆ เป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรกก็จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อชัยชนะแต่กลายเป็นต่อสู้เพื่อต่อสู้ การต่อสู้กลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง


พันธมิตร ฯ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาเริ่มต้นต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ด้วยการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาเปิดประเด็นโจมตีรัฐมนตรีบางคนกดดันเพื่อให้ลาออก ต่อมาเป็นการขับไล่รัฐบาลทั้งคณะที่พวกเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นการเสนอการปกครองระบอบใหม่มาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบ 70 : 30 ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการลากตั้งถึง 70 % ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการตอบรับแม้ในหมู่คนกรุงเทพ ฯ


เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า พันธมิตรกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้ต่อสู้ ต่อสู้เพราะต้องต่อสู้ หรือต้องต่อสู้เพราะว่ามันเป็นเรื่องการทำธุรกิจ


อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากภาวะแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นคดีความในอดีตที่ยังค้างอยู่ในศาล ท่าทีที่ “ก้าวล่วง” หลายต่อหลายครั้ง อาจพอสรุปการกระทำของสนธิ ลิ้มทองกุลในครั้งนี้ได้ว่า “อาจจะ” มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง หรือมีเจตนาที่ “สุ่มเสี่ยง” ต่อการหมิ่นเบื้องสูง (ผมสามารถใช้คำว่า “อาจจะ” หรือ ”สุ่มเสี่ยง” ในการพิพากษาตัดสินคนอื่นได้แบบเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาตัดสินอย่างน่าอัศจรรย์ในคดีเขาพระวิหารโดยใช้คำว่า “อาจจะ” และ “สุ่มเสี่ยง”)


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล “อาจจะ” มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง แต่เขาก็ได้รับการประกันตัวออกไปเพราะเขาคิดว่าเขาคือมาเฟีย ในขณะที่ ดา ตอร์ปิโด ต่างออกไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอชื่นชม อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จากใจจริงที่ขอยื่นประกันตัว ดา ตอร์ปิโด โดยไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดแก่ตนเอง


ดา ตอร์ปิโด และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ต่างกัน เรามาดูกันสิว่าระหว่างคนที่กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองเชื่อกับมาเฟียข้างถนนจะมีบทสรุปตอนท้ายอย่างไร.


บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ก่อนอื่นคงต้องขอยอมรับในความสามารถของชัย ราชวัตร ที่สามารถตรึงใจผู้อ่านคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายาวนานหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันและดูเหมือนว่าสามารถสร้างแฟนการ์ตูนรุ่นใหม่ ๆ ได้ไม่น้อย ความน่าสนใจประการหนึ่งของการ์ตูนคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” อยู่ที่การสร้างบทสนทนาระหว่างตัวการ์ตูนเพียงไม่กี่ประโยค แต่สื่อความหมายได้มากมายเสียยิ่งกว่าบทความที่ยาวเต็มหน้ากระดาษชัย ราชวัตร ใช้วาจาสั้น ๆ ในการเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือบางครั้งเป็นการกล่าวหาใส่ความเกินจริง โดยที่เขาตัวเขาเองไม่ต้องรับผลอันใดจากการกระทำของตนเอง ตัวอย่างเช่นไทยรัฐ, 26…
เมธัส บัวชุม
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ชัย ราชวัตร แสดงความหยาบของตัวเองผ่านการ์ตูนชุด “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ ชัดเจนอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ชัย ราชวัตร เอาการเอางานอย่างมากในการใช้ตัวการ์ตูนโจมตีฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ บางครั้งเขาออกอาการก้าวร้าวผิดปกติเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองแหลมคม เป็นผลให้การ์ตูนของเขาแตกต่างจากการ์ตูนของคนอื่น ๆ คือเป็นการ์ตูนที่เด็ก ๆ อ่านไม่รู้เรื่องเพราะอ้างอิงกับข้อมูลและความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน อันที่จริงความน่าสนใจของหนังสือการ์ตูนโดยทั่วไปนั้นอยู่ที่การใช้ “ภาพ” เป็นตัวเล่าเรื่อง…
เมธัส บัวชุม
อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เพื่อนโทรมาชวนผมไปฟังการสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเนื่องในงานธรรมศาสตร์วิชาการ เรื่อง “ก้าวต่อไปของการเมืองภาคประชาชนไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2550” เพื่อนบอกว่ามีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณจอน อึ๊งภากรณ์ คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นพ.เหวง โตจิราการ คุณรสนา โตสิตระกูลผมได้ยินรายชื่อแล้วรู้สึกสนใจโดยเฉพาะคุณจาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมืองคุณภาพที่หาได้ยากยิ่งในแวดวงการเมืองไทยปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ผิดหวัง คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่มาร่วมวงสัมมนาแต่อย่างใด คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นำเสนอการวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการ อย่างไรก็ตาม…
เมธัส บัวชุม
คงเป็นเพราะความเชี่ยวชาญส่วนตัวหรือเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายเรื่องยาเสพติดมาก่อน คุณเฉลิม อยู่บำรุง จึงนำเสนอนโยบายปราบปรามยาเสพติดเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งว่าจะจัดการเฉียบขาดต่อพ่อค้า (และแม่ค้า) ยาเสพติดโดยลงโทษรุนแรงคือประหารชีวิต อย่างไรก็ตามคุณเฉลิม อยู่บำรุงไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนในครั้งนั้น ดังนั้น นโยบายอันดุดันเรื่องนี้ของคุณเฉลิม  อยู่บำรุงจึงถูกพับเก็บไปการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นโยบายทางสังคมอย่างเรื่องยาเสพติดและเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ถูกชูขึ้นหาเสียงมากนัก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลายโดยมากแล้วจะเน้นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ การสร้างความอยู่ดีกินดี…
เมธัส บัวชุม
การหวนกลับมาระบาดอย่างหนักของยาเสพติดในปัจจุบัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด และได้ผลของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อดีอันเป็นรูปธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยาเสพติดได้ลดหายไปจากสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน-นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผม “คิดถึง” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร การเอาจริงเอาจังกับปัญหายาเสพติดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายเดือดร้อนถูกจับกันถ้วนหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ซื้อและขายอย่างสะดวกสบายโดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาจะจัดการได้ ผู้ขายยาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งบอกว่า เขาสามารถซื้อตำรวจได้ทั้งจังหวัด…
เมธัส บัวชุม
อาจารย์สมศักดิ์  เจียมธีรสกุล ภาควิชาประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นกลางบางกลุ่มที่เป็นพวก “สองไม่เอา” คือไม่เอาทั้ง “ทักษิณ” และ “ไม่เอารัฐประหาร” จนเป็นประเด็นถกเถียงน่าสนใจทางโลกไซเบอร์นักวิชาการบางคนพยายามที่จะไปให้พ้นจาก “สองไม่เอา” โดยพูดถึง “ทางเลือกที่สาม” แต่ที่สุดก็ไม่สามารถบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม” นั้นคืออะไร การพยายามค้นหาหรือสร้าง “ทางเลือกที่สาม” มีข้อดีในแง่ที่ว่าอาจช่วยเปิดจินตนาการทางการเมืองให้กว้างขึ้นแต่ก็นั่นแหละใครจะบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม”  เป็นอย่างไร  “ทางเลือกที่สาม” มีจริงหรือ ?เมื่อ “ทางเลือกที่สาม” ไม่มีอยู่จริง…
เมธัส บัวชุม
คุณสมัคร  สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึง “มือสกปรก” และ “มือที่มองไม่เห็น” ที่พยายามสอดเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่าเป็นมือที่อยู่ “นอกวงการเมือง” เป็นมือที่จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยมีความต้องการที่จะขัดขวางพรรคพลังประชาชนไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล“ไอ้มือสกปรกที่อยู่ข้างนอก ที่จะยื่นมาทำให้การเลือกตั้งล้มเหลวนั้น ผมขอแถลงว่า เราต้องทำอย่างนี้ เพื่อรักษาเกียรติยศ เกียรติคุณของ กกต.ไม่ให้ท่านโดยอำนาจมืดมาบีบบังคับ มาทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นการเฉไฉ ทั้ง 4 พรรค เราได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะดำเนินการตั้งรัฐบาล ซึ่งตั้งได้แน่นอน…
เมธัส บัวชุม
-1-ครั้งที่แล้ว ผมเขียนแสดงความคิดเห็นต่อบทความของศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งเขียนยกย่องว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความสง่างามออกมาสามเรื่องจนทำให้เหมาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่ถึงเวลานี้ไม่ทราบว่าศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ จะยังเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีความสง่างามอยู่อีกหรือไม่เพราะหลังจากที่พ่ายแพ้ต่อพรรคพลังประชาชนแล้ว เขาก็ออกอาการที่เรียกได้ว่า "ขี้แพ้ชวนตั้งพรรค"ด้วยแรงหนุนจากบุคคลบางกลุ่ม และองค์กรบางองค์กร ตลอดจนการได้รับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในกรุงเทพมหานครที่มีชัยเหนือพรรคพลังประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับสอง…
เมธัส บัวชุม
ผมรู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึง เหลือเชื่อ รับไม่ได้ ต่อบทความของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2550  ผมอ่านอย่างตั้งใจทีคำ ทีละประโยค  เมื่ออ่านจบแล้ว ได้แต่ส่ายหัว บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เขียนอย่างที่เขียนไปแล้วได้อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ในวัยชรา ได้ทำลายตัวเองด้วยการเขียนบทความอันน่าสะอิดสะเอียนเพื่อชื่นชม คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างหน้ามืดตามัว เขาเขียนว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (…
เมธัส บัวชุม
-1-เป็นที่รู้กันดีว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ชุดปัจจุบันซึ่งมีคนอย่าง นางสดศรี สัตยธรรม ผู้ซึ่งดูเหมือนจะชมชอบ “สถาบันทหาร” เป็นพิเศษเป็นคณะกรรมการรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นองค์กรที่กล่าวได้ว่าคลอดออกมาจาก “มดลูก” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ที่ทำการรัฐประหารปล้นชิงอำนาจมาจากประชาชน โดยมีพลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน ผู้ซึ่งนอกจากชอบอ้างเรื่อง “ความมั่นคง” แล้วยังชอบอ้างเรื่อง “คุณธรรม จริยธรรม” แต่ว่ากันว่าจดทะเบียนสมรสซ้อนอย่างน้อยสองครั้งเป็นอดีตประธาน  เป็นที่รู้กันดีว่าจุดประสงค์หลักของคมช.และ “บรรดาลูกๆ”  ทั้งหลายก็คือต้องการทำลายล้าง ถอนรากถอนโคน…
เมธัส บัวชุม
-1-การยึดอำนาจโดยกลุ่มทหาร ที่เรียกตัวเองด้วยชื่อที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับคนที่พบเห็นหรือศึกษาเกี่ยวกับการรัฐประหารมาบ้างว่า “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (คปค.) ในวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นถือเป็นฝันร้ายยาวนานสำหรับสังคมการเมืองไทย และเชื่อว่าจะตามหลอกตามหลอนประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยไปตลอดคณะทหารที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเสียใหม่แต่ก็ยังฟังดูคุ้น ๆ อยู่ดีว่า “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) บัดนี้คำว่า “ความมั่นคง” ปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในรูปของชื่อเรียกและนับจากนี้เป็นต้นไป วาทกรรม “ความมั่นคง”…
เมธัส บัวชุม
หนังสือที่มีชื่อโดนใจใครหลาย ๆ คนเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั้งจากคนที่เห็นด้วยและคนที่รับไม่ได้แน่นอนว่าพรรคพลังประชาชนจะต้องถูกอกถูกใจที่มีคนมาช่วย "ด่า" รัฐธรรมนูญปี 2550เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่หัวหน้าพรรคฝีปากกล้าของพลังประชาชนเคยลั่นมาแล้วก่อนหน้านี้ว่า "รัฐธรรมนูญเฮงซวย"นักวิชาการน้อยใหญ่หลายคนเห็นตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องทำโพลล์ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นเฮงซวยจริง ๆ ทั้งนี้เพราะมันไม่ตอบโจทย์ที่กำลังเป็นปัญหาของสังคม ไม่ตอบคำถามของคนชั้นกลางที่อยากมีชีวิตมั่นคงภายใต้กระแสของโลกาภิวัฒน์ ทั้งยังไม่ช่วยให้คนระดับล่างมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้าแต่รัฐธรรมนูญเฮงซวยฉบับปี 2550…