Skip to main content

กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ


นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร เปลี่ยนแปลงตนเองจากผู้ประท้วงรัฐบาลตามสิทธิในรัฐธรรมนูญเป็นแก๊งมาเฟียและกลุ่มอันธพาลการเมืองที่อยู่เหนือกฎหมาย

|
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจค้นคนที่ผ่านไปมาอย่างถือวิสาสะของการ์ดพันธมิตร
, การขึ้นรถไฟมากรุงเทพฯ โดยไม่ยอมจ่ายเงินของกลุ่มพันธมิตร 123 คน จากจังหวัดสงขลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน, การที่พนักงานรัฐวิสาหกิจบางกลุ่มใช้บริการสาธารณะซึ่งเป็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเป็นเครื่องต่อรองข่มขู่รัฐบาล, การไม่ยอมรับอำนาจศาลของแกนนำพันธมิตร ทั้งที่ปากเรียกร้องให้อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับกระบวนการยุติธรรม และพฤติกรรมอีกมากหลายที่กลุ่มพันธมิตร ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นแค่เพียงกลุ่มแก๊งอันธพาลทางการเมือง ที่ไม่สามารถแม้กระทั่งจะบอกสาธารณชนได้ว่าจุดหมายปลายทางของการประท้วงคืออะไร


กลุ่มอันธพาลการเมืองพันธมิตร เรียกร้องให้รัฐบาลลาออก แต่สมมติว่ารัฐบาลลาออกแล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
? อันธพาลการเมืองกลุ่มนี้ก็ยังไม่สามารถตอบได้ ตอบได้แค่ว่าค่อยไปคิดกันข้างหน้า! ตอนนี้ขอเพียงให้รัฐบาลออกไปก่อน (แล้วหลังจากนั้นค่อยไปต่อรองกันกับกลุ่มอำนาจต่าง ๆ อีกที)

ความต้องการแบบนี้ของอันธพาลพันธมิตรไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการไม่รู้จักรับผิดชอบต่อการเรียกร้องของตนเอง
! ความเดือดร้อนของประชาชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องที่ค่อยคิดกันอีกที!


กลุ่มอันธพาลการเมืองพันธมิตร อาจจะเก่งในแง่ของยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันรัฐบาล แต่กลับไม่มียุทธศาสตร์อะไรเลย การเมืองใหม่ในแบบ
70 : 30 ที่เคยเสนอนั้น อันธพาลพันธมิตรก็กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะผลักดันต่อไปให้สุดเพราะเกรงว่าจะไม่มีใครขานรับ สิ่งที่ทำได้คือการตะโกนปาว ๆ ให้รัฐบาลลาออก


สิ่งที่ทำได้คือการระดมคนอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกนักศึกษาที่กลัวตกกระแส รัฐวิสาหกิจบางส่วน พวกแพทย์ พวกศิลปินตกยุค คนเหล่านี้เต้นเร่าไปตามกระแสของการปลุกระดมอย่างบ้าคลั่ง


อันธพาลการเมืองพันธมิตรดันต่อไปข้างหน้าและช่างกล้าดัดจริต ด้วยการเรียกการกระทำของตนเองว่าเป็น ”อารยะขัดขืน” แต่หลาย ๆ คนได้แย้งอย่างมีน้ำหนักไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตร นั้นไม่ใช่ ”อารยะขัดขืน”


การพกพาอาวุธอย่างเปิดเผยในขณะชุมนุม
, การครอบครองยาเสพติด, การพูดจาโกหกถากถางกระทั่งใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม, การโฆษณาชวนเชื่อวันแล้ววันเล่า, การรุมทุบตีคนที่คิดต่างจนตายข้างถนน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า “อารยะขัดขืน” เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเทียบเคียงกับ มหาตมะ คานธี หรือ เฮนรี เดวิด ธอโร ก็ตาม

อันธพาลพันธมิตรทำให้คำที่ฟังดูหรูหราอย่าง ”อารยะขัดขืน” กลายเป็นคำโสมมที่คงไม่มีใครกล้าเอ่ยอีกต่อไป กระทั่งคำว่า “การเมืองภาคประชาชน” ก็มีความหมายบิดเพี้ยนไปเมื่อนำไปจับกับการชุมนุมของคนกลุ่มนี้ ที่จริงเราน่าจะเรียกว่าเป็นอันธพาลการเมืองหรือแก๊งค์มาเฟีย ที่หลบอยู่ใต้กระโปรงของคำว่า “ประชาชน” เสียมากกว่า


เมื่อรัฐบาลพยายามหาทางออกจากความขัดแย้ง ด้วยการทำประชามติอันเป็นการฟังเสียงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ เช่นเคย อันธพาลพันธมิตรและวุฒิสมาชิกหัวล้าหลังที่ส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้งจะไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับที่เคยไม่เห็นด้วยในการหยั่งเสียงทำประชามติในประเด็นของการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี
50 เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอยู่ข้างรัฐบาล


แม้แต่ญาติพี่น้องของนายสุริยะใส กตะศิลา ในอำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ก็ยังไม่ยอมรับพฤติกรรมอันธพาลที่ไม่ยอมรับกฎหมาย ของคน ๆ นี้ และในฐานะคนบ้านเดียวกันทำให้ต้องพลอยอับอายขายขี้หน้าและเสียชื่อไปด้วย จนต้องรวมตัวกันต่อต้านเพื่อประกาศให้สังคมรู้ว่าไม่เห็นด้วยกระทั่งรังเกียจ


เช่นเดียวกับพี่สาวของณรงค์ศักดิ์ กอบไธสง ที่ถูกอันธพาลพันธมิตรรุมทุบตีจนเสียชีวิต พูดอย่างเจ็บแสบกับนางสาวรสนา โตสิตระกูล สว
. กทม. ที่ต้องการสร้างภาพให้ตนเองโดยใช้ความตายของคนที่รักประชาธิปไตย เมื่อนำเงินไปให้ว่า "อิฉันไม่ยอมรับเงินจากพวกขบถหรอกค่ะ"


เหล่านี้ล้วนแล้วแต่พลังเงียบที่ไม่เห็นด้วยกับอันธพาลพันธมิตรเพียงแต่ไม่มีโอกาส และช่องทางในการแสดงออกเพราะแม้แต่สื่อที่อ้างว่าเป็นสื่อสาธารณะอย่าง
TPBS ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหารนั้นก็ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงอย่างแท้จริง หากแต่นำเสนอข่าวเข้าข้างอันธพาลพันธมิตรอย่างน่าเกลียด


อันธพาลพันธมิตรทำให้การเมืองไทยตกอยู่ในความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งก็คืออันธพาลการเมืองพันธมิตรนั้นไม่อาจร่วมทางไปกับระบอบประชาธิปไตย ที่กฎหมายอยู่เหนือกฎหมู่ได้
.

 

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…