Skip to main content
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง


วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว แล้วลัทธิพันธมิตรนำมาขยายความเพิ่มเติม  ดัดแปลง ให้ความหมายใหม่

วาทกรรมไม่ใช่ความจริงแต่เป็นกระบวนการสร้างความจริง เป็นกระบวนการที่ทำให้ความเท็จกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อถือ และมีน้ำหนักกระทั่งกลายเป็นความจริงที่ยอมรับกันโดยทั่วไป จะว่าไปแล้ว สถาบันและองค์กรในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ มากไปกว่านั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสถาปนาความจริง เช่น คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ใช่แค่ความคิดเห็นแต่ได้กลายเป็นความจริงที่ยุติ

วาทกรรมที่มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้าม เช่น "จ๊อกกี้" "ระบอบทักษิณ" "ผลประโยชน์ทับซ้อน" "ไอ้หน้าเหลี่ยม"   "ขายชาติ" "ทหารของพระราชา"  "แทรกแซงสื่อ" "หมิ่นเบื้องสูง"  "เผด็จการรัฐสภา" "รัฐบาลสัตว์นรก" "รัฐบาลหุ่นเชิด" "นอมินี"  "ชาติล่มจมแล้ว" "สงครามครั้งสุดท้าย"ตลอดจนบทเพลงแปลง เพลงแต่ง บทกวีจำนวนมาก  ภาพวาด โลโก้ ฯลฯ

วาทกรรม "จ๊อกกี้" นั้นมาจากพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง โดยหมายถึงรัฐบาลของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้อยู่ยั่งยืนและมีความสำคัญอะไรมากนัก วาทกรรมนี้นับเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติที่ชัดเจนของประธานองคมนตรีต่อรัฐบาลทักษิณและได้รับการขยายต่ออย่างกว้างขวาง

วาทกรรม "ขายชาติ" วาทกรรมนี้ใช้มาตลอดในประวัติศาสตร์ของการกล่าวหาทางการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครสามารถนำ "ชาติ" ไปขายได้เพราะ "ชาติ" เป็นเพียงจินตนาการทางการเมืองเท่านั้น ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่ชอบกล่าวหาผู้อื่นด้วยคำว่า "ขายชาติ" นั้นมักจะเป็นโจร

วาทกรรม "แทรกแซงสื่อ" คำนี้ได้ยินกันบ่อย เป็นคาถามหานิยมในการป้องกันตัวของบรรดาสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม การที่ลัทธิพันธมิตร บุกยึด NBT ตลอดจนการข่มขู่นักข่าวของนักรบศรีวิชัยนั้นไปไกลกว่าการแทรกแซงสื่อหลายเท่า

วาทกรรม "ระบอบทักษิณ"   ทักษิณไม่ใช่ระบบระบอบหรือนามธรรมที่ลอยอยู่ในอากาศ แต่เป็นตัวบุคคลที่รู้ร้อนรู้หนาวและจับต้องได้  ดังนั้น "ระบอบทักษิณ" จึงไม่มีอยู่จริง จับต้องไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่า วาทกรรม "ระบอบทักษิณ" เป็นวาทกรรมที่งี่เง่าและไร้ความรับผิดชอบของนักวิชาการผู้ชอบประดิษฐ์อะไรเรื่อยเปื่อย

วาทกรรม "รัฐบาลสัตว์นรก" ถ้ารัฐบาลเป็นสัตว์นรก ลัทธินอกรีตอย่างพันธมิตรก็คงไม่ดีไปกว่ากัน ไม่มีลักษณะใด ๆ เลยที่บ่งบอกว่าลัทธินอกรีตอย่างพันธมิตรนั้นดีไปกว่าสัตว์นรกหรือดีไปกว่ากลุ่มคนที่กล่าวหา อันที่จริงโจรด่าโจรคงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมากนัก

วาทกรรมต่าง ๆ ที่ลัทธิพันธมิตร ผลิตและนำมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยมากแล้วเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล

วาทกรรมที่มุ่งยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" "สันติวิธี" "อารยะขัดขืน" "ชุมนุมอย่างสงบ" "ยามเฝ้าแผ่นดิน" "สื่อแท้"  "กู้ชาติ"  "การเมืองใหม่" "เราจะสู้เพื่อในหลวง" "ผ้าพันคอสีฟ้า"  "พันธมิตรเด็ก" "มหาวิทยาลัยราชดำเนิน" "สาธิตมัฆวาน" "ประชาภิวัฒน์"  ฯลฯ

ลัทธิพันธมิตรพยายามทำให้วาทกรรมว่าด้วยความถูกต้องดีงามของตนเองกลายเป็นเรื่องจริง แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ผ่านมาทำให้เราได้เห็นกันแล้วว่าวาทกรรมด้านนี้ของลัทธิพันธมิตรหลายประการเป็นเรื่องเท็จ

แค่ชื่อลัทธิ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" นั้นเป็นอะไรที่กลืนไม่ลงแล้ว ชื่อเรียกกับการกระทำนั้นไปคนละทาง เหมือนเรียกโจรว่าพระ

วาทกรรม "การชุมนุมโดยสงบ" ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการชุมนุมของลัทธิพันธมิตรทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อนและจงใจทำให้เกิดความไม่สงบ การรุมทุบตีคนจนตาย การครอบครองยาเสพติด การขายอุปกรณ์เสพยาเสพติดอย่างเปิดเผย ตลอดจนอาวุธจำนวนมากที่ชาวพันธมิตรมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่บอกชัดอยู่แล้วว่าการชุมนุมของพันธมิตรสงบหรือไม่

วาทกรรม "อารยะขัดขืน" ผมเคยเสนอไปแล้วว่าเราควรจะเรียกว่า "อารยะข่มขืน" ดีกว่าหรือจะเรียกว่า "อนารยะขัดขืน" ก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเลยที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ  หรือความมีอารยะของพันธมิตร

วาทกรรม "ผ้าพันคอสีฟ้า"  แกนนำของลัทธิพันธมิตรต่อสู้โดยพยายาม "เอาหลังพิงวัง" ซึ่งไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ที่ยุติธรรม แต่แสดงให้เห็นถึงความไร้น้ำยาของลัทธิพันธมิตรเองที่พยายามเอาใครต่อใครเข้ามาเกี่ยว

วาทกรรม "กู้ชาติ" ว่าที่จริง "ชาติ" ไม่ได้อัญเชิญให้ลัทธิพันธมิตรมาช่วยกู้  ดังที่กล่าวแล้วว่า "ชาติ" เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น ไม่ต้องไปกู้ให้เสียเวลา คงจะได้อะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าหากเปลี่ยนจากกู้ชาติเป็น "กู้แบ๊งค์"

การข่มขู่กรรโชกโดยอันธพาลลัทธิพันธมิตรใกล้ถึงจุดอิ่มตัว การขังตัวเองอยู่ในทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ความชอบธรรมลดลง แนวร่วมหดหาย ผู้คนเบื่อหน่าย แกนนำเพี้ยนหนัก ไม่ช้าไม่นานสังคมไทยจะได้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรนั้น นอกจากไร้ประโยชน์แล้วยังทำให้สังคมเสียหายอีกด้วย.

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ก่อนอื่นคงต้องขอยอมรับในความสามารถของชัย ราชวัตร ที่สามารถตรึงใจผู้อ่านคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายาวนานหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันและดูเหมือนว่าสามารถสร้างแฟนการ์ตูนรุ่นใหม่ ๆ ได้ไม่น้อย ความน่าสนใจประการหนึ่งของการ์ตูนคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” อยู่ที่การสร้างบทสนทนาระหว่างตัวการ์ตูนเพียงไม่กี่ประโยค แต่สื่อความหมายได้มากมายเสียยิ่งกว่าบทความที่ยาวเต็มหน้ากระดาษชัย ราชวัตร ใช้วาจาสั้น ๆ ในการเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือบางครั้งเป็นการกล่าวหาใส่ความเกินจริง โดยที่เขาตัวเขาเองไม่ต้องรับผลอันใดจากการกระทำของตนเอง ตัวอย่างเช่นไทยรัฐ, 26…
เมธัส บัวชุม
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ชัย ราชวัตร แสดงความหยาบของตัวเองผ่านการ์ตูนชุด “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ ชัดเจนอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ชัย ราชวัตร เอาการเอางานอย่างมากในการใช้ตัวการ์ตูนโจมตีฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ บางครั้งเขาออกอาการก้าวร้าวผิดปกติเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองแหลมคม เป็นผลให้การ์ตูนของเขาแตกต่างจากการ์ตูนของคนอื่น ๆ คือเป็นการ์ตูนที่เด็ก ๆ อ่านไม่รู้เรื่องเพราะอ้างอิงกับข้อมูลและความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน อันที่จริงความน่าสนใจของหนังสือการ์ตูนโดยทั่วไปนั้นอยู่ที่การใช้ “ภาพ” เป็นตัวเล่าเรื่อง…
เมธัส บัวชุม
อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เพื่อนโทรมาชวนผมไปฟังการสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเนื่องในงานธรรมศาสตร์วิชาการ เรื่อง “ก้าวต่อไปของการเมืองภาคประชาชนไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2550” เพื่อนบอกว่ามีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณจอน อึ๊งภากรณ์ คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นพ.เหวง โตจิราการ คุณรสนา โตสิตระกูลผมได้ยินรายชื่อแล้วรู้สึกสนใจโดยเฉพาะคุณจาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมืองคุณภาพที่หาได้ยากยิ่งในแวดวงการเมืองไทยปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ผิดหวัง คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่มาร่วมวงสัมมนาแต่อย่างใด คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นำเสนอการวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการ อย่างไรก็ตาม…
เมธัส บัวชุม
คงเป็นเพราะความเชี่ยวชาญส่วนตัวหรือเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายเรื่องยาเสพติดมาก่อน คุณเฉลิม อยู่บำรุง จึงนำเสนอนโยบายปราบปรามยาเสพติดเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งว่าจะจัดการเฉียบขาดต่อพ่อค้า (และแม่ค้า) ยาเสพติดโดยลงโทษรุนแรงคือประหารชีวิต อย่างไรก็ตามคุณเฉลิม อยู่บำรุงไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนในครั้งนั้น ดังนั้น นโยบายอันดุดันเรื่องนี้ของคุณเฉลิม  อยู่บำรุงจึงถูกพับเก็บไปการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นโยบายทางสังคมอย่างเรื่องยาเสพติดและเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ถูกชูขึ้นหาเสียงมากนัก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลายโดยมากแล้วจะเน้นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ การสร้างความอยู่ดีกินดี…
เมธัส บัวชุม
การหวนกลับมาระบาดอย่างหนักของยาเสพติดในปัจจุบัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด และได้ผลของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อดีอันเป็นรูปธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยาเสพติดได้ลดหายไปจากสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน-นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผม “คิดถึง” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร การเอาจริงเอาจังกับปัญหายาเสพติดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายเดือดร้อนถูกจับกันถ้วนหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ซื้อและขายอย่างสะดวกสบายโดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาจะจัดการได้ ผู้ขายยาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งบอกว่า เขาสามารถซื้อตำรวจได้ทั้งจังหวัด…
เมธัส บัวชุม
อาจารย์สมศักดิ์  เจียมธีรสกุล ภาควิชาประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นกลางบางกลุ่มที่เป็นพวก “สองไม่เอา” คือไม่เอาทั้ง “ทักษิณ” และ “ไม่เอารัฐประหาร” จนเป็นประเด็นถกเถียงน่าสนใจทางโลกไซเบอร์นักวิชาการบางคนพยายามที่จะไปให้พ้นจาก “สองไม่เอา” โดยพูดถึง “ทางเลือกที่สาม” แต่ที่สุดก็ไม่สามารถบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม” นั้นคืออะไร การพยายามค้นหาหรือสร้าง “ทางเลือกที่สาม” มีข้อดีในแง่ที่ว่าอาจช่วยเปิดจินตนาการทางการเมืองให้กว้างขึ้นแต่ก็นั่นแหละใครจะบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม”  เป็นอย่างไร  “ทางเลือกที่สาม” มีจริงหรือ ?เมื่อ “ทางเลือกที่สาม” ไม่มีอยู่จริง…
เมธัส บัวชุม
คุณสมัคร  สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึง “มือสกปรก” และ “มือที่มองไม่เห็น” ที่พยายามสอดเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่าเป็นมือที่อยู่ “นอกวงการเมือง” เป็นมือที่จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยมีความต้องการที่จะขัดขวางพรรคพลังประชาชนไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล“ไอ้มือสกปรกที่อยู่ข้างนอก ที่จะยื่นมาทำให้การเลือกตั้งล้มเหลวนั้น ผมขอแถลงว่า เราต้องทำอย่างนี้ เพื่อรักษาเกียรติยศ เกียรติคุณของ กกต.ไม่ให้ท่านโดยอำนาจมืดมาบีบบังคับ มาทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นการเฉไฉ ทั้ง 4 พรรค เราได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะดำเนินการตั้งรัฐบาล ซึ่งตั้งได้แน่นอน…
เมธัส บัวชุม
-1-ครั้งที่แล้ว ผมเขียนแสดงความคิดเห็นต่อบทความของศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งเขียนยกย่องว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความสง่างามออกมาสามเรื่องจนทำให้เหมาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่ถึงเวลานี้ไม่ทราบว่าศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ จะยังเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีความสง่างามอยู่อีกหรือไม่เพราะหลังจากที่พ่ายแพ้ต่อพรรคพลังประชาชนแล้ว เขาก็ออกอาการที่เรียกได้ว่า "ขี้แพ้ชวนตั้งพรรค"ด้วยแรงหนุนจากบุคคลบางกลุ่ม และองค์กรบางองค์กร ตลอดจนการได้รับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในกรุงเทพมหานครที่มีชัยเหนือพรรคพลังประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับสอง…
เมธัส บัวชุม
ผมรู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึง เหลือเชื่อ รับไม่ได้ ต่อบทความของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2550  ผมอ่านอย่างตั้งใจทีคำ ทีละประโยค  เมื่ออ่านจบแล้ว ได้แต่ส่ายหัว บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เขียนอย่างที่เขียนไปแล้วได้อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ในวัยชรา ได้ทำลายตัวเองด้วยการเขียนบทความอันน่าสะอิดสะเอียนเพื่อชื่นชม คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างหน้ามืดตามัว เขาเขียนว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (…
เมธัส บัวชุม
-1-เป็นที่รู้กันดีว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ชุดปัจจุบันซึ่งมีคนอย่าง นางสดศรี สัตยธรรม ผู้ซึ่งดูเหมือนจะชมชอบ “สถาบันทหาร” เป็นพิเศษเป็นคณะกรรมการรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นองค์กรที่กล่าวได้ว่าคลอดออกมาจาก “มดลูก” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ที่ทำการรัฐประหารปล้นชิงอำนาจมาจากประชาชน โดยมีพลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน ผู้ซึ่งนอกจากชอบอ้างเรื่อง “ความมั่นคง” แล้วยังชอบอ้างเรื่อง “คุณธรรม จริยธรรม” แต่ว่ากันว่าจดทะเบียนสมรสซ้อนอย่างน้อยสองครั้งเป็นอดีตประธาน  เป็นที่รู้กันดีว่าจุดประสงค์หลักของคมช.และ “บรรดาลูกๆ”  ทั้งหลายก็คือต้องการทำลายล้าง ถอนรากถอนโคน…
เมธัส บัวชุม
-1-การยึดอำนาจโดยกลุ่มทหาร ที่เรียกตัวเองด้วยชื่อที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับคนที่พบเห็นหรือศึกษาเกี่ยวกับการรัฐประหารมาบ้างว่า “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (คปค.) ในวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นถือเป็นฝันร้ายยาวนานสำหรับสังคมการเมืองไทย และเชื่อว่าจะตามหลอกตามหลอนประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยไปตลอดคณะทหารที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเสียใหม่แต่ก็ยังฟังดูคุ้น ๆ อยู่ดีว่า “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) บัดนี้คำว่า “ความมั่นคง” ปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในรูปของชื่อเรียกและนับจากนี้เป็นต้นไป วาทกรรม “ความมั่นคง”…
เมธัส บัวชุม
หนังสือที่มีชื่อโดนใจใครหลาย ๆ คนเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั้งจากคนที่เห็นด้วยและคนที่รับไม่ได้แน่นอนว่าพรรคพลังประชาชนจะต้องถูกอกถูกใจที่มีคนมาช่วย "ด่า" รัฐธรรมนูญปี 2550เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่หัวหน้าพรรคฝีปากกล้าของพลังประชาชนเคยลั่นมาแล้วก่อนหน้านี้ว่า "รัฐธรรมนูญเฮงซวย"นักวิชาการน้อยใหญ่หลายคนเห็นตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องทำโพลล์ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นเฮงซวยจริง ๆ ทั้งนี้เพราะมันไม่ตอบโจทย์ที่กำลังเป็นปัญหาของสังคม ไม่ตอบคำถามของคนชั้นกลางที่อยากมีชีวิตมั่นคงภายใต้กระแสของโลกาภิวัฒน์ ทั้งยังไม่ช่วยให้คนระดับล่างมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้าแต่รัฐธรรมนูญเฮงซวยฉบับปี 2550…