ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียด
ไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้ แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง ก็ต้องพร้อมรับให้การเมืองเข้าไปยุ่งด้วย"
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี จึงเป็นเป้าและเป้านิ่งให้กองทัพแดงรุมถล่มหนักหน่วง ในฐานะที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อ 19 กันยา 49 ซึ่งเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาถอยหลังกลับไปหลายสิบปี
นักแสดงตลกบนเวที นำบุคลิกของประธานองคมนตรีมาล้อเลียนอย่างเปิดเผย เรื่องเล่าเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศถูกแปลงให้เป็นเรื่องขำขัน ชาวบ้านต่างจังหวัดกล้ากล่าวคำบริภาษเต็มปากเต็มคำ แกนนำกองทัพแดง- จตุพร พรหมพันธุ์ หาญกล้าที่จะเรียกประธานองคมนตรีเสียงดังฟังชัดว่า "ไพร่"
"องคมนตรีต้องพิจารณาตัวเองมากกว่าคนอื่น เมื่อไม่ยอมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ความพยายามกล่าวอ้างว่า องคมนตรีคือสถาบัน มันไม่ใช่ องคมนตรีไม่ใช่เจ้า แต่เป็นไพร่เหมือนคนทั่วไป" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol01300352§ionid=0133&day=2009-03-30 (มติชนรายวัน, 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11342)
มายาภาพลวง ๆ ที่เคยปกป้ององคมนตรีได้อันตรธานไปเสียแล้วจริง ๆ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปถึงในที่ซ่อนและทำให้ความจริงปรากฏ การวิพากษ์วิจารณ์อันเข้มข้นและการพูดความจริงโยกคลอนความศรัทธาที่ประชาชนเคยมีต่อองคมนตรีทั้งสองรายอย่างถึงรากถึงโคน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อีกหนึ่งแกนนำกองทัพแดง กล่าวโจมตีหัวขบวนของระบอบอมาตยาธิปไตยว่า
"อยากเตือน อยากเตือน พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าอย่าเชื่อมั่นตนเองมากนัก เพราะต้นทุนความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว อยากให้สังคมไทยใช้สติพิจารณาความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลจากอดีตที่ผ่านมา การกระทำของ พล.อ.สุรยุทธ์ชี้ชัดว่าพูดอย่าง ทำอย่าง ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เขาใหญ่ แต่ในขณะที่เป็นประธานฯกลับบุกรุกและครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง โดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน" http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=130376 (ไทยรัฐ,วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2552)
อันที่จริงการเข้าไปบงการวางแผน หรือมีส่วนร่วมในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยขององคมนตรีทั้งสองรายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าประชาชนจะทราบกันโดยทั่วไป บางเสี้ยวของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขององคมนตรีปรากฎเป็นข่าวเป็นระยะ ๆ
แต่การ "ให้รายละเอียด" เพื่อต่อจิ๊กซอว์ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และการซ้ำเข้าไปแบบเนื้อๆ อีกหลายดอกจากพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี และการออกมาแก้ข่าวของบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งเป็นเหมือนการให้ข้อมูลเพิ่ม ล้วนเน้นย้ำให้สิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้วเป็นจริงมากยิ่งขึ้นอีก พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี อัดองคมนตรีตรงๆ ว่า
"ผิดหวังที่ พล.อ.สุรยุทธ์เสียสัจจะที่ว่าจะไม่รับตำแหน่งหลังการปฏิวัติ แต่ก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรื่องตำแหน่งต่างๆ นั้น พล.อ.สุรยุทธ์เป็นคนยกขึ้นมาเองว่า การดำเนินการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ จะไม่ได้ทำเพื่อหวังตำแหน่งหรือลาภยศอะไร" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0101290352§ionid=0101&selday=2009-03-29 (มติชนรายวัน 29 มี.ค. พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11341)
เป็นไปตามสูตรที่องคมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร แต่อย่างที่พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พูด "เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท" ทิ่มไปอีกดอก
แม้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ จะตีนิ่ง ทำทีเป็นเฉย ๆ ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่โดยวิสัยของศักดินาที่มีความอดทนต่ำ โดยวิสัยของนักการเมืองที่ทำได้ทุกอย่าง โดยบุคลิกที่ต้องเป็นฝ่ายชนะตลอด เชื่อว่าการตอบโต้ที่รุนแรงคงเกิดขึ้นไม่ช้าและนั่นจะเป็นการล้างกลุ่มศักดินากลุ่มใหญ่ออกไป
ไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้ แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง ก็ต้องพร้อมรับให้การเมืองเข้าไปยุ่งด้วย"
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี จึงเป็นเป้าและเป้านิ่งให้กองทัพแดงรุมถล่มหนักหน่วง ในฐานะที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อ 19 กันยา 49 ซึ่งเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาถอยหลังกลับไปหลายสิบปี
นักแสดงตลกบนเวที นำบุคลิกของประธานองคมนตรีมาล้อเลียนอย่างเปิดเผย เรื่องเล่าเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศถูกแปลงให้เป็นเรื่องขำขัน ชาวบ้านต่างจังหวัดกล้ากล่าวคำบริภาษเต็มปากเต็มคำ แกนนำกองทัพแดง- จตุพร พรหมพันธุ์ หาญกล้าที่จะเรียกประธานองคมนตรีเสียงดังฟังชัดว่า "ไพร่"
"องคมนตรีต้องพิจารณาตัวเองมากกว่าคนอื่น เมื่อไม่ยอมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ความพยายามกล่าวอ้างว่า องคมนตรีคือสถาบัน มันไม่ใช่ องคมนตรีไม่ใช่เจ้า แต่เป็นไพร่เหมือนคนทั่วไป" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol01300352§ionid=0133&day=2009-03-30 (มติชนรายวัน, 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11342)
มายาภาพลวง ๆ ที่เคยปกป้ององคมนตรีได้อันตรธานไปเสียแล้วจริง ๆ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปถึงในที่ซ่อนและทำให้ความจริงปรากฏ การวิพากษ์วิจารณ์อันเข้มข้นและการพูดความจริงโยกคลอนความศรัทธาที่ประชาชนเคยมีต่อองคมนตรีทั้งสองรายอย่างถึงรากถึงโคน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อีกหนึ่งแกนนำกองทัพแดง กล่าวโจมตีหัวขบวนของระบอบอมาตยาธิปไตยว่า
"อยากเตือน อยากเตือน พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าอย่าเชื่อมั่นตนเองมากนัก เพราะต้นทุนความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว อยากให้สังคมไทยใช้สติพิจารณาความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลจากอดีตที่ผ่านมา การกระทำของ พล.อ.สุรยุทธ์ชี้ชัดว่าพูดอย่าง ทำอย่าง ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เขาใหญ่ แต่ในขณะที่เป็นประธานฯกลับบุกรุกและครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง โดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน" http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=130376 (ไทยรัฐ,วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2552)
อันที่จริงการเข้าไปบงการวางแผน หรือมีส่วนร่วมในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยขององคมนตรีทั้งสองรายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าประชาชนจะทราบกันโดยทั่วไป บางเสี้ยวของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขององคมนตรีปรากฎเป็นข่าวเป็นระยะ ๆ
แต่การ "ให้รายละเอียด" เพื่อต่อจิ๊กซอว์ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และการซ้ำเข้าไปแบบเนื้อๆ อีกหลายดอกจากพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี และการออกมาแก้ข่าวของบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งเป็นเหมือนการให้ข้อมูลเพิ่ม ล้วนเน้นย้ำให้สิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้วเป็นจริงมากยิ่งขึ้นอีก พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี อัดองคมนตรีตรงๆ ว่า
"ผิดหวังที่ พล.อ.สุรยุทธ์เสียสัจจะที่ว่าจะไม่รับตำแหน่งหลังการปฏิวัติ แต่ก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรื่องตำแหน่งต่างๆ นั้น พล.อ.สุรยุทธ์เป็นคนยกขึ้นมาเองว่า การดำเนินการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ จะไม่ได้ทำเพื่อหวังตำแหน่งหรือลาภยศอะไร" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0101290352§ionid=0101&selday=2009-03-29 (มติชนรายวัน 29 มี.ค. พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11341)
เป็นไปตามสูตรที่องคมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร แต่อย่างที่พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พูด "เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท" ทิ่มไปอีกดอก
แม้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ จะตีนิ่ง ทำทีเป็นเฉย ๆ ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่โดยวิสัยของศักดินาที่มีความอดทนต่ำ โดยวิสัยของนักการเมืองที่ทำได้ทุกอย่าง โดยบุคลิกที่ต้องเป็นฝ่ายชนะตลอด เชื่อว่าการตอบโต้ที่รุนแรงคงเกิดขึ้นไม่ช้าและนั่นจะเป็นการล้างกลุ่มศักดินากลุ่มใหญ่ออกไป
ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีใครจะไปแตะต้ององคมนตรีได้ แต่การรุกรานจนเกินทนทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกใดนอกจากหันหน้าสู้ ซึ่งผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมาเป็นเบื้องต้นแล้วว่าองคมนตรีโดนหนักทีเดียว.
บล็อกของ เมธัส บัวชุม
เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี" หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่ แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…