หลายวันก่อน ได้อ่านบทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง “ทางออกจากทักษิณ” (มติชนรายวัน, 20 ก.ค. 52.) บทความนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อเหลืองและแดง
เนื้อหาของบทความ นอกจากปัญญาชนรายนี้จะออกตัวให้กลุ่มพันธมิตรหรือเสื้อเหลืองโดยยกระดับความคิด และการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่าเกิดจากทัศนะและความเข้าใจในประชาธิปไตยที่แตกต่างจากกลุ่มเสื้อแดงซึ่งทั้งสองกลุ่มล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน
\\/--break--\>
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนวิเคราะห์กิจกรรมทางการเมืองของคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงแบบหลวม ๆ รวม ๆ ว่า
“ความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองเสื้อแดง จึงไม่ใช่เพราะฝ่ายหนึ่งเชียร์อำมาตยาธิปไตย แต่อีกฝ่ายหนึ่งอยากล้ม ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันด้วยเรื่องประชาธิปไตยต่างหาก เพราะต่างก็นิยามประชาธิปไตยแตกต่างกัน
ฝ่ายเสื้อเหลืองเห็นว่า ประชาธิปไตยไทยมีแต่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหนทางให้นักการเมืองขี้ฉ้อเข้ามากุมอำนาจรัฐ แล้วก็ทำการทุจริตคิดมิชอบกันไม่รู้จบ ถึงจะสร้างกลไกตรวจสอบอย่างที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ทำไว้ ก็ไม่อาจป้องกันได้ เพราะนักการเมืองขี้ฉ้อ กลับแทรกแซงองค์กรอิสระเสียจนไม่อาจทำงานได้อย่างเที่ยงธรรม วิธีแก้คือสร้างหรือเสริมอำนาจนอกระบบ (ประชาธิปไตย) ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม, ตุลาการ, ระบบราชการบางส่วน หรือสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งในทางตรงกันข้าม ฝ่ายเสื้อแดงให้ความสำคัญแก่การเลือกตั้งจนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ของประชาธิปไตยไปเสียหมด ทั้งนี้เพราะฝ่ายเสื้อแดงเชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรทรัพยากรให้ตกแก่ประชาชนที่อยู่นอกเขตตัวเมือง และประชาชนระดับล่างมากขึ้น ปัญหาการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองเป็นปัญหาระดับรอง เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลไทยทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหารได้ทำสืบเนื่องกันมานาน ฉะนั้นจึงต้องเอาระบอบเลือกตั้งกลับคืนมา โดยรอนอำนาจนอกระบบ (ประชาธิปไตย) ทุกชนิดลงเสีย เพื่อให้กระบวนการทางการเมืองเป็นกระบวนการที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว”
ไม่ว่าจะมองในเชิงยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธี การกระทำที่ผ่านมาของคนเสื้อเหลืองไม่เกี่ยวข้องอะไรกับประชาธิปไตย กระทั่งเป็นอุปสรรคขัดขวาง การต่อสู้ของคนเสื้อเหลืองทำให้ระบอบมาตยาธิปไตยเฟื่องฟูขึ้นมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้ แต่ประเด็นที่แน่นอนก็คือผลพวงจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรนำไปสู่การทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงที่สุด สนับสนุนให้อำนาจนอกกติกาเข้าแทรกแซงหลักการประชาธิปไตย ส่งเสริมให้อำนาจของกองทัพเติบใหญ่ ลดทอนความสำคัญของการเมืองภาคประชาชนลง
ทั้งกระบวนการ(บุกNBT ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน) และเป้าหมาย (การเรียกร้องในเรื่อง 70 : 30 ส่งบัตรเชิญทหารให้ทำรัฐประหาร) ของกลุ่มพันธมิตรไม่อาจเรียกได้แม้แต่น้อยเลยว่าเกิดจากการนิยามประชาธิปไตยที่แตกต่างกันดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ชวนให้เชื่อ
ไม่มีตัวบ่งชี้แม้นเพียงตัวเดียวจะที่จะชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรเป็นผลดีต่อประชาธิปไตย นอกเสียจากจะคิดแบบหลุดโลกว่าการรัฐประหารเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย!
นอกจากจะฟอกให้คนเสื้อเหลืองดูสะอาดแล้ว นิธิ เอียวศรีวงศ์ ยังเข้าใจผิดอย่างแรงเกี่ยวกับคนเสื้อแดงโดยบอกว่า “คนเสื้อแดงให้ความสำคัญแก่การเลือกตั้งจนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ของประชาธิปไตย ...เพื่อให้กระบวนการทางการเมืองเป็นกระบวนการที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว”
ผมเข้าร่วมชุมนุมประท้วงกับคนเสื้อแดงหลายครั้ง หลายครา ไม่เคยได้ยินเลยว่าคนเสื้อแดงไม่ต้องการกลไกประชาธิปไตยอื่นใดนอกจากการเลือกตั้ง! ไม่เคยมีคนเสื้อแดงคนไหนต้องการเพียงการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว! นิธิ เอียวศรีวงศ์ คงจินตนาการไปเอง
สิ่งที่คนเสื้อแดงต้องการไม่ใช่การทอนให้ประชาธิปไตยเหลือเพียงการเลือกตั้ง หากแต่ต้องการทำให้ “หลักการ” มีความหมายว่า “หลักการ”
คนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อ “หลักการ” โดยที่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวอย่างของเหยื่อแห่งความไร้หลักการนั่นเอง
บทความของนิธิ เอียวศรีวงศ์ อ่อนด้อยลงทุกวันเมื่อเขียนเรื่องการเมือง จิตสำนึกที่ผิดพลาด ความเกลียดกลัวนักการเมืองบวกกับรสนิยมทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม ทำให้การวิเคราะห์การเมืองของเขาล้าหลัง ไม่ช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย
การเมืองเรื่องระบบตัวแทนนั้นเป็นสิ่งที่มีปัญหาแน่ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้นเราต้องเริ่มต้นด้วยการเคารพกติกาง่าย ๆ เรื่องการยอมรับเสียงข้างมากเสียก่อน เราต้องผ่านขั้นตอนที่การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วป่วยการที่จะวิเคราะห์ถึงปัญหาของระบบตัวแทนในเมื่อเราไม่เคยมีระบบนี้จริง ๆ
ผมเคยเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วว่าอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวแทนนักการเมืองที่เหมาะที่สุดในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เราต้องส่งเสริมให้เกิดนักการเมืองแบบนี้มาก ๆ เพื่อที่ว่าระบบรัฐสภาจะได้มีการพัฒนาจนเห็นข้อดีข้อด้อย
เราจะแก้จุดอ่อนของระบบรัฐสภาได้อย่างไรหากไม่เคยศรัทธา.
บล็อกของ เมธัส บัวชุม
เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛ ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…