Skip to main content
 

ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังรวนเรเพราะความไร้ฝีมือและความเน่าจากภายใน แทนที่จะทุ่มสมองและแรงงานเพื่อกระหนาบกระหน่ำรัฐบาลโจร คนเสื้อแดงเฉดต่าง ๆ ก็กลับใช้โอกาสนี้วิพากษ์วิจารณ์กันรุนแรงกระทั่งแตกออกเป็นสาย

\\/--break--\>
บรรดาคนเสื้อแดงคงไม่มีใครสบายใจ ที่ได้เห็นแกนนำซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสามารถตอบโต้ทุ่มเถียงกันโดยใช้ถ้อยคำภาษาที่เผ็ดร้อน(ตามแรงยุของสื่อ) ความขัดแย้งนี้ลามไปถึงกองเชียร์หรือแนวร่วมของแต่ละฝ่ายอีกด้วย


คนอยู่วงนอกอย่างผมไม่มีทางรู้ตื้นลึกหนาบางในรายละเอียดของความขัดแย้ง ไม่รู้ว่าในวงคุยของแกนนำนั้นพูดจาอะไรกันบ้าง แต่ผมอยากจะมองหาข้อดีจากความขัดแย้งของคนเสื้อแดงในครั้งนี้


ดีเหมือนกันครับที่คนเสื้อแดงจะแยก ๆ กันบ้างจะได้มีทางเลือกในการต่อสู้มากขึ้น คนที่รักอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เหนืออะไรอื่นจะได้มีที่ทางของตนเอง คนที่เห็นว่าเรื่องตัวบุคคลเป็นเรื่องรองจะได้ทำงานไปตามทางของตนเอง ในที่นี้ ผมอยากจะแบ่งกลุ่มคนเสื้อแดงแบบหลวม ๆ ดังนี้


1. "แดงฎีกา" ชอบจัดงานอีเวนต์ สรรหากิจกรรมโน่นนี่มาให้พลพรรคได้ตื่นตัวอยู่เสมอ เดินสายปลุกระดมตามต่างจังหวัด นาน ๆ ทีเรียกคนมาประชุมเชคผลงานในกรุงเทพ ความผิดพลาดที่เห็นได้ชัดคือตอน "สงกรานต์เลือด" ที่คิดเอาง่าย ๆ ว่าระดมคนมาหลายแสนแล้วจะชนะโดยไม่มีแผนอะไรรองรับ ปล่อยให้มวลชนคิดหาหาหนทางเอาเอง


แดงกลุ่มนี้รู้จักพวกอมาตย์น้อยเกินไป ไม่รู้จักเข็ด ไม่รู้จักหลาบกับพวกอมาตย์ที่คบไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ เพื่อให้อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้าน "แดงฎีกา" ก็พร้อมจะประนีประนอม (การยื่นฎีกาเป็นการต่อรองหรือประนีประนอมแบบหนึ่ง)


"แดงฎีกา" เอาประชาธิปไตยไปผูกเข้ากับสถาบันและผลักให้แดงบางกลุ่มกลายเป็นพวกไม่เอาสถาบันไป


ไม่รู้เหมือนกันว่าในระยะยาวผลลัพธ์การเคลื่อนไหวของแดงกลุ่มนี้จะสร้างสรรค์หรือสร้างปัญหากันแน่เพราะแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มองไม่เห็นว่าปัญหาแท้จริงอยู่ที่อะไร อย่างไรก็ตาม แดงกลุ่มนี้โดดเด่นในเรื่องของการสร้างมวลชน


2. "แดงสุขุม" แบบคุณจาตุรนต์ ฉายแสงและนักเคลื่อนไหวบางกลุ่ม แม้จะสุขุมแต่แดงเฉดนี้ก็ "แรง" ไม่ใช่น้อย ถนัดในการจัดงานเสวนา เขียนหนังสือ แถลงข่าว ให้สัมภาษณ์ มีความรอบคอบ หัวก้าวหน้า วุฒิภาวะ อย่างไรก็ตาม อาจทำอะไรที่ไม่ทันใจกลุ่มฮาร์ดคอร์ทั้งไม่มีมวลชนของตนเองมากนัก


3. "แดงสภา" มีแดงบางกลุ่มที่ยังเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างน่าจะส่งผ่านตัวแทนเข้ามาเพื่อหาทางแก้กันที่สภา ไม่ควรจะไปเคลื่อนไหวกันข้างถนนหรือยึดโน่นยึดนี่ เปลืองทรัพยากรและงบประมาณไปเปล่า


4. "แดงถอนรากถอนโคน" แดงกลุ่มนี้เชื่อว่าประเทศไทยเสียเวลามากเกินไปแล้วสำหรับพวกศักดินา พอบ้านเมืองจะเจริญประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้ กลุ่มศักดินาก็ส่งทหารเข้าทำการยึดอำนาจ อยากให้ประชาชนเป็นไพร่ทาสอยู่ร่ำไป ดังนั้นการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงจะหยุดเพียงแค่ตัวบุคคลไม่ได้แต่ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ความยุติธรรมจึงจะเกิด ถ้อยวาทะอันดุดันเสียดแทงแดงบางกลุ่มของคุณจักรภพ เพ็ญแข ชี้ให้เห็นแนวคิดของแดงกลุ่มนี้


"แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดงวันนี้มาถึงจุดหักเหที่สำคัญว่า จะเป็นประชาธิปไตยฝ่ายก้าวหน้า หรือพวกล้าหลังที่รอคอยแต่เดินตามเสียงนกหวีด คนที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าจะไม่บูชาตัวบุคคล ไม่ได้สนใจเอาคลิบเสียงมาขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพราะรู้ดีนายอภิสิทธิ์เป็นเพียงสาวกของฝ่ายอำมาตย์ ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร สั่งแต่งตั้ง ผบ.ตร.ยังไม่ได้แล้วจะมีอำนาจสั่งฆ่าประชาชนได้อย่างไร และถึงพิสูจน์ได้ว่าเป็นเสียงนายอภิสิทธิ์จริง นายอภิสิทธิ์ก็แค่หมดอนาคตทางการเมือง พวกอำมาตย์ก็ตั้งคนของพวกเขาขึ้นมาใหม่ ถามว่าขบวนการฝ่ายประชาธิปไตยจะได้อะไร ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเป็นจิ้งหรีดที่ถูกพวกอำมาตย์ปั่นหัว ให้เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองมากัดกัน เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ การต่อสู้โค่นล้มอำมาตย์ยุคใหม่ ต้องให้เทคโนโลยีสารสนเทศ ติดอาวุธทางปัญหาให้กับประชาชน ไม่ใช่มาติดอาวุธประหัตประหารกันเอง


เรื่องของแกนนำ เป็นแค่เรื่องสมมุติขึ้น ในระบบประชาธิปไตย เราต้องเป็นได้ทั้งคนนำและคนตาม ถ้านำอย่างเดียวแต่เป็นผู้ตามไม่เป็น ใครไปแตะต้องหน่อยก็โมโหโกรธา ใช้วิชามารสารพัดในการสยบระงับความเห็นที่ขัดแย้งอย่างนี้ก็เท่ากับติดเชื้อเผด็จการไปหน่อย แต่ยังไม่สายถ้าหากจะไปรีบล้างเชื้อเผด็จการออกทำตัวให้เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ เท่าเทียม ไม่จำเป็นจะต้องได้เฉพาะแกนนำ หรือใครอยู่ที่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจเท่านั้น"

http://ow.ly/ohla


ถึงเวลาแล้วที่แดงกลุ่มต่าง ๆ จะแยกกันตี ใครถนัดแนวทางก็เข้าสมทบหรือจะเข้าสมทบกับแดงทุกกลุ่มก็ได้ จัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ เป้าหมายสูงสุดคือสถาปนารัฐที่ประชาชนเป็นใหญ่ ส่วนผมพร้อมเข้าร่วมทุกกลุ่ม แม้จะเริ่มเอือมแดงสามเกลออยู่พอสมควรแล้วก็ตาม.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…