Skip to main content
รถไฟไทยเป็นอย่างที่เป็นอยู่มานาน โดยแทบไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้เพราะความเสื่อมโทรมของรถไฟให้ประโยชน์แก่คนหลายกลุ่ม รวมทั้งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ดังนั้นแนวคิดใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้รถไฟเปลี่ยนไปจึงถูกต่อต้านแม้จะมีผลการวิเคราะห์วิจัยรองรับอยู่จำนวนมาก


ถึงตอนนี้ เราควรช่วยกันส่งเสียงสนับสนุนให้เกิดการแปรรูปการรถไฟ ไม่ว่าการแปรรูปจะนำไปสู่อะไรก็ตามเพราะมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว การปล่อยให้การรถไฟเป็นอย่างที่เป็นอยู่นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการทุจริตเสียอีก  สิ่งเก่า ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงและไม่ตอบสนองคนหมู่มากย่อมส่งผลเสียทำลายทำร้ายสังคมได้มากกว่าการเปลี่ยนแปลงไป

ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไร การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ส่งผลให้เกิดการสนับสนุนจากประชาชนในการแปรรูปหรือจัดการทำอะไรสักอย่างกับการรถไฟดังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ถือเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่ผู้มีอำนาจจะเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเสียที

การกระทำแบบเอาแต่ใจตนเองและเปลี่ยนข้อเรียกร้องไปเรื่อย ๆ ของสหภาพฯ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในด้านลบอย่างกว้างขวาง  สะท้อนให้เห็นถึงความยุ่งเหยิงเน่าเฟะภายในของหน่วยงานที่ยากจะแก้ไขโดยวิธีธรรมดาแบบที่เคยเป็นมา  การปล่อยให้หน่วยงานการรถไฟแก้ปัญหากันเองไปตามเรื่องตามราวไม่น่าจะได้ผลอีกต่อไปแล้ว รัฐบาลจะต้องใช้อำนาจและช่องทางที่มีอยู่เข้าไปแทรกแซง

ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น การเปลี่ยนแปลงในการรถไฟเป็นสิ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ต้องมีการจัดองค์กรเสียใหม่เพื่อตอบสนองความเป็นไปทางเศรษฐกิจและสังคม แม้จะมีคนบาดเจ็บหรือกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ก็ตาม ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำและทนต่อแรงเสียดทานได้ก็จะได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากแบบเดียวกับที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยลองและได้รับมาแล้วในการริเริ่มโครงการใหญ่ ๆ  (แต่เชื่อเถิดว่าเรื่องที่เสี่ยงและใหญ่ขนาดนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์จะไม่เล่น)

พิมพ์เขียวสำหรับการแปรรูปการรถไฟนั้นมีหลายแบบ งานวิจัยในเรื่องนี้และตัวอย่างที่ดีมีอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นรถไฟในประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งมีรถไฟใช้หลังประเทศไทย) หรือยุโรป เราจะลอกมาทั้งดุ้นหรือจะประยุกต์ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีก็สุดแท้แต่ นี่คงไม่ใช่ปัญหา

แต่ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากสหภาพฯ เองซึ่งคอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงที่จะเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนในวงกว้าง ทางสหภาพฯ ใช้ทุนและพลังของตนเองในการเล่นการเมือง ต่อรองกับฝ่ายบริหารโดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองเป็นหลักเสมอมา

หากเราจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้ สหภาพฯ เคยนัดหยุดงานมาแล้วเพื่อต่อต้านแผนการปรับปรุง การบริหารจัดการ โดยอ้างแบบเดิม ๆ ว่าการแปรรูปจะเปิดโอกาสให้กลุ่มนายทุนและนักการเมืองเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ 

แม้ว่าการแปรรูปจะทำให้นายทุนและนักการเมืองบางกลุ่มได้ผลประโยชน์จริง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีสำหรับการไม่ทำอะไรเลยหรือเอามาอ้างเพื่อขัดขวางความเปลี่ยนแปลง ว่าที่จริงในบริบทของทุนนิยมที่เราท่านมีชีวิตอยู่ คงไม่อาจปฏิเสธความจริงเรื่องการได้ประโยชน์ของนายทุนหรือนักการเมืองได้ ไม่มีกิจการใดที่นายทุนหรือทุนจะไม่เกี่ยวข้อง  การทำโครงการใหญ่ ๆ นั้นนายทุนย่อมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน

แต่ด้วยพลังของทุนนี่แหละที่ชีวิตและสังคมจะคืบไปข้างหน้า!

ข้อดี (หรืออาจจะเรียกว่าบทเรียน) อย่างหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยคือการทำให้หลายคนตาสว่าง มีความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องพลังสร้างสรรค์ของทุนและทุนนิยม ไม่มองทุนนิยมว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความดีงามของวัฒนธรรมไทยแต่เพียงด้านเดียว ไม่หลงผิดคิดว่าของเก่าของแก่จะมีแต่ด้านดีเสมอไป แต่ได้ตระหนักว่าทุนนิยมคือวิถีทางในการดึงศักยภาพและพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์ออกมาอย่างถึงที่สุด 

กระนั้นก็ตาม เป็นเรื่องน่าแปลกที่บางกลุ่ม บางคนยังให้การสนับสนุนสหภาพแรงงานฯ อยู่ หากเป็นกลุ่มพันธมิตร นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะสหภาพ ฯ กับกลุ่มพันธมิตรนั้นเชื่อมโยงช่วยเหลือกันอย่างเปิดเผยจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน  ว่าที่จริงการนัดหยุดงานของสหภาพ ฯ ก็เป็นผลพวงสืบเนื่องหรือเศษซากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร

การนัดหยุดงานอย่างน่าเกลียด ไล่ผู้โดยสารลงกลางทาง เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ยาก กลุ่มพลังทางสังคมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดควรประณามการกระทำนี้เพื่อให้รู้ว่าในสังคมนี้มาตรฐานความถูกผิดยังมีอยู่?

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…