Skip to main content

หากผมบอกว่าชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ใช้ไม่ได้แล้ว บางคนคงโต้แย้ง ผมจึงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ให้กว้าง ๆ ว่า ชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ไม่เพียงพอสำหรับการทำความเข้าใจความเป็นไปของสังคมการเมืองในโลกปัจจุบัน ไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าความหมายและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง


ผมไม่เคยเห็นด้วยเลยกับแนวคิดเรื่องชาตินิยม ไม่ว่าจะอวดอ้างว่าเป็นชาตินิยมแบบไหนก็ตาม จะชาตินิยมแบบนักวิชาการอย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือชาตินิยมมอมเมาแบบพันธมิตร สุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างกันนักเพราะนำไปสู่อะไรที่คับแคบหรือเป็นเผด็จการ สังเกตดูเถิดว่าชาตินิยมกับความเป็นเผด็จการมีอะไรหลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน

อุดมการณ์ชาตินิยมทำให้หลงตัวเอง มองไม่เห็นไม่รู้ข้อเสียของตนเอง เอาแต่โทษคนอื่น นำไปสู่ความล้าหลังและรักชาติแบบผิด ๆ ว่าที่จริงความรักชาติที่กินไม่ได้นั้นไร้ประโยชน์ นำไปสู่อคติหรือความโง่เขลาเบาปัญญา

ดังนั้นผมจึงรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงที่รัฐบาล นักวิชาการ หรือกลุ่มพันธมิตรพากันปลุกผีเรื่องชาตินิยมกระทั่งคลั่งชาติขึ้นมา ฉวยโอกาสตอบโต้กับฝ่ายทักษิณซึ่งทำอะไรในระดับอินเตอร์ด้วยการชูเรื่องชาติ

ทีนี้เราลองดูสิว่าชาตินิยมแบบพันธมิตรที่ออกมาจากปากจ้าวลัทธิสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นน่าขยะแขยงเพียงไร สนธิบอกว่า

“ทำไมชาติถึงสำคัญ เพราะชาติประกอบด้วยสองอย่างคือศาสนา และพระมหากษัตริย์ เมื่อพวกเรารักชาติ ก็เท่ากับพวกเรามีศรัทธาในศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตามที่เราเคารพ เมื่อเราศรัทธาในศาสนา ศาสนาแข็งแกร่ง สถาบันกษัตริย์ก็ย่อมแข็งแกร่งด้วย เมื่อศาสนาแข็งแกร่ง สถาบันแข็งแกร่ง ชาติก็แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นแล้วศาสนาและพระมหากษัตริย์จะแยกออกจากกันไม่ได้โดยเด็ดขาด
” http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26623

ถ้าสนธิเชื่อในสิ่งที่ตนเองพูดทุกคำก็แสดงว่าสนธิคงมีความโง่อยู่ในตัวเอง ทำไมชาติจะแยกออกจากศาสนาหรือพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ชาติหลายชาติในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เจริญรุ่งเรืองได้ ตัวอย่างมีเยอะแยะไป หรือในชาติที่มีพระมหากษัตริย์หากเกิดการเปลี่ยนราชวงศ์ ชาติก็ยังไม่เปลี่ยนไปไหน ชาติยังคงอยู่ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนราชวงศ์หรือเปลี่ยนระบอบการปกครอง

ชาติไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสถาบันกษัตริย์กระทั่งไปด้วยกันไม่ได้ด้วยซ้ำไป การผูกชาติไว้กับสถาบันกษัตริย์ส่งผลต่อพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก หน้าตาประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่

นอกจากนี้แล้ว คำพูดที่หยิบยกมาจะเห็นได้ว่า ชาตินิยมของสนธิ (หรืออาจหมายถึงชาตินิยมของกลุ่มพันธมิตรด้วยบางส่วน) ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า
“ประชาชน”  อยู่เลย  มีแต่ศาสนา (ความงมงาย) และพวก “เจ้า” (อาศัยความงมงายในการครองอำนาจ)

ชาตินิยมเป็นของพวกเจ้า โดยพวกเจ้าและเพื่อพวกเจ้า โดยร่วมมือกับศาสนาคอยกล่อมเกลาประชาชน ในขณะที่พวกคนชั้นกลางหรือพ่อค้าอย่างสนธิ อาจฉวยโอกาสสร้างคะแนนทางการเมืองหรือหลอกขายของไปด้วยพร้อมกัน ดังนี้แล้วจึงเป็นที่ชัดเจนว่าชาตินิยมไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากนักกับคนระดับรากหญ้า หากแต่เป็นอุดมการณ์ในการมอมเมาให้คนขาดสติปัญญา

จึงไม่น่าแปลกใจที่พันธมิตรหรือพรรคประชาธิปัตย์จะคุ้นเคย หรือนิยมชมชอบฉวยใช้ประโยชน์จากอุดมการณ์ชาตินิยม แล้วก็โชคดีเช่นเคยที่ชาตินิยมมาถูกที่ถูกเวลาสำหรับลดแรงวิพากษ์วิจารณ์ในการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ โชคดีสำหรับพันธมิตรเช่นกันที่ได้โอกาสปลุกกระแสความนิยมขึ้นมาอีกหน

ขอส่งท้ายด้วยบทกวีพันธมิตร ซึ่งเป็นแรงหนึ่งที่ช่วยปลุกผีชาตินิยมพันธมิตรขึ้นมา น่าละอายที่กวีระดับซีไรต์ยังจมปลักอยู่กับชาตินิยมล้าหลัง บ่ายเบี่ยงไปว่าไม่ใช่เรื่องคลั่งชาติแต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีพร้อมกับยัดเยียดเรื่อง
“ทรราชย์” “ผิดไม่ยอมรับผิด” ให้อีกฝ่าย   ลองอ่านดู
 
@ ต้านศัตรู @
 
@ นี่ไม่ใช่ลัทธิ “ชาตินิยม”
ไม่ใช่เรื่อง ปลุกระดม ขึ้นเข่นฆ่า
ไม่ใช่เรื่อง คลั่งชาติ ไม่พัฒนา
ไม่ใช่เรื่อง อมาตยา บ้าชนชั้น
หากเป็นเรื่อง เอกราช อธิปไตย
ศักดิ์ศรี ความเป็นไท ใช่ทาษนั่น
ล่วงละเมิด หมิ่นหยาม สิ่งสำคัญ
ไม่เคารพ กันและกัน บั่นไมตรี
ผิดไม่ยอม รับกรรม ที่ทำผิด
กลับตะบิด ตะแบงไป ในทุกที่
ตั้งเข็มผิด ก็ผิดไกล ไปทุกที
เงินชั่วชี้ ชั่วช้า สาริยำ
หนึ่งนายทุน ทรราช ฉกาจกล้า
สองขุนศึก เฒ่าชรา บ้าระห่ำ
สามเจ้าตั้ง ศักดินา ออกหน้านำ
สามศัตรู ขู่ขย้ำ ประเทศไทย
ต้องร่วมมือ กำหมัด ขจัดมาร
ต้องร่วมต้าน ร่วมสู้ ศัตรูใหม่
ต้องเป็นใจ เดียวกัน ประสานชัย
ต้องขับไล่ อันธพาล เผาบ้านเมือง
สามัคคี คนไทย ที่ใจไท
ไม่ยอมให้ ศัตรู มาขู่เขื่อง
ความเป็นธรรม ต้องสำแดง ให้แรงเรือง
ร่วมปลดเปลื้อง อยุติธรรม งำแผ่นดิน!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมเฝ้ารอคอยดูผลสำเร็จ (หรือไม่สำเร็จ) ของนโยบาย "5 รั้ว" ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านยาเสพติดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ยาเสพติดลดลงได้จริงหรือไม่ "5 รั้ว" ที่ว่าคือ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ทั้ง "5 รั้ว" จะช่วยเป็นเกราะป้องกันต้านทานการทะลักเข้ามาของยาเสพติด พร้อมไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม
เมธัส บัวชุม
ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีความสามารถในการทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ รายการเชื่อมั่นประเทศไทยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีแต่ถ้อยคำลวงโลกว่างเปล่า รัฐมนตรีทำงานแบบขอไปที เอาตัวรอดไปวัน ๆ ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจง่าย ๆ และรับปากว่าจะดำเนินการ ทาสีให้พรรคพวกที่ทำผิดกฏหมายกลายเป็นบริสุทธิ์ นโยบายไม่มีอะไรใหญ่และไม่มีอะไรใหม่ ฯลฯ ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงก็ฝ่อลง เหมือนหมดมุกจะเล่น เหมือนหมดทางจะไปต่อ เหมือนยอมรับสภาพ
เมธัส บัวชุม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าทำไมรู้สึกแย่ถึงขั้นขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางจอโทรทัศน์ บางทีฝืนใจดูเพราะอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดอะไรแต่ก็ต้องเปลี่ยนช่องทันทีที่ได้ฟังประโยคแรก เพราะเพียง "อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่" ผมได้คำตอบเบื้องต้นว่าเหตุที่ไม่ชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างรุนแรงนั้นมีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการไม่เป็นสุภาพบุรุษ (แพ้ก็ไม่ยอมรับว่าแพ้) ชอบเล่นนอกกติกา (บอยคอตเลือกตั้ง) ขาดความเป็นผู้นำ (ตัดสินใจอะไรไม่ได้) พูดจ้าอ้อมค้อมวกวน (ตอบไม่ได้เรื่องหนีทหาร) เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น (โทษคนอื่นตลอด) ทำหน้าซึ้งๆ เศร้าๆ (คิดว่าตนเองเป็นนางเอก) ท่าดีทีเหลว (…
เมธัส บัวชุม
หากให้ลองเอ่ยชื่อปัญญาชนที่เป็นเสาหลักของสังคมไทย แน่นอนต้องมี ส.ศิวรักษ์ รวมอยู่ด้วย จากผลงานมากมายและหลากหลายในอดีตคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธคุณูปการของ ส. ศิวรักษ์ ที่มีต่อสังคมไทยไปได้ ย้อนหลังไปก่อนการเมืองยุคทักษิณ ผมเฝ้าติดตามและชื่นชมผลงานของส.ศิวรักษ์อยู่ห่าง ๆ ชื่อของเขาในฐานะวิทยากรตามงานสัมมนาเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ต้องเข้าไปนั่งฟังทัศนะอันกล้าหาญแหลมคม อาจกล่าวได้ว่าเขาคือแรงดลใจและเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในการต่อสู้กับความ อยุติธรรม
เมธัส บัวชุม
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา…
เมธัส บัวชุม
  Iภาพที่ผู้ชายจิกหัวผู้หญิงเสื้อแดง แล้วลากถูลู่ถูกังไปกับถนนด้วยความอาฆาตมาดร้ายท่ามกลางการยืนดูเฉย ๆ ของทหาร นักข่าวและสาธาณชนนั้นน่าสะเทือนใจ ไม่ต่างอะไรกับการมุงดูผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในที่สาธารณะ นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้ว บางคนอาจจะลุ้นเอาใจช่วยฝ่ายชายอีกต่างหาก
เมธัส บัวชุม
คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์สู้รบ การประกาศมอบตัวอุปมาเหมือนแม่ทัพที่ทิ้งทัพกลางศึกด้วยเหตุที่ว่ากลัวไพร่พลและทหารแดงที่เข้าร่วมสงครามจะบาดเจ็บล้มตาย! -------------
เมธัส บัวชุม
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล  นักวิชาการขาประจำผู้ซึ่งเคยเสนอมาตรา 7 เช่น อธิการบดีธรรมศาสตร์ ให้ทัศนะในรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ว่าการโฟนอินของทักษิณจะทำให้แนวร่วมเสื้อแดงบางส่วนหายไป จะเหลือก็แต่คนเสื้อแดงแท้ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านต่างจังหวัดเท่านั้นผมได้ฟังแล้วงง มันมี "เสื้อแดงแท้ ๆ" กับ "เสื้อแดงไม่แท้" ด้วยเหรอ ? แล้วคน "เสื้อแดงแท้ ๆ"  ในความหมายของนักวิชาการรายนี้หมายถึงใคร
เมธัส บัวชุม
ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียดไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้  แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง…
เมธัส บัวชุม
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านพ้นไปแล้วหลายวัน โพลล์บางสำนัก นักวิชาการบางราย สื่อบางเจ้า ทำการสำรวจประเมินความคิดเห็นของประชาชนต่อการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผลจะออกมาเป็นบวกต่อรัฐบาล ทั้งที่ข้อมูลของคุณเฉลิม อยู่บำรุง นั้นถือเป็นข้อมูลลึกและน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ผมติดตามการอภิปรายอยู่ห่างๆ หมายถึงดูบ้าง ไม่ได้ดูบ้าง สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคำอธิบาย คำชี้แจงของรัฐบาลคือแทบทุกคนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเลย การให้เหตุผลเป็นแบบ "เอาสีข้างเข้าถู" "แก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ" หรือชี้แจงไม่ตรงกับสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปราย
เมธัส บัวชุม
เป้าหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกับเป้าหมายของคนเสื้อแดงนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันเสียทีเดียวหากแต่มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก หมายถึงว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่ก่อนจะพูดถึงส่วนที่เหมือนและต่างนั้นต้องทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นกันก่อนว่า คนเสื้อแดงมีหลายประเภท หลายเฉด คนเสื้อแดงมีตั้งแต่กลุ่มฮาร์ดคอร์แบบอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์, จักรภพ เพ็ญแข และสีแดงอ่อนๆ ประเภท "แดงสมานฉันท์" สีแดงมีหลายดีกรีคือมีทั้งพวกอนุรักษ์นิยมอ่อนๆ ,เสรีนิยม ไปจนถึงกลุ่มถอนราก ถอนโคน (radical)
เมธัส บัวชุม
ผมเคยดูวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ชื่อ "แฮมเมอร์" แสดงสดหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ดูครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยอมรับว่าประทับใจมาก ครั้งต่อ ๆ มาก็ยังประทับใจ ทุกคนในวงตั้งใจเล่น ตั้งใจร้อง นักดนตรีหลายคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น เดี๋ยวขลุ่ย เดี๋ยวไวโอลิน ดูแล้วเพลิดเพลินนัก แตกต่างจากวงดนตรี "เพื่อชีวิต" ทั่ว  ๆ ไป แม้จะมีหนวดเครายาวรุงรัง แต่แฮมเมอร์ดูสะอาด ไม่มีลีลาหรือพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องเก๊กหน้าให้ดูเหมือนกับคนมีความคิดลึกซึ้งหรือดัดเสียงให้ฟังซึ้งเศร้าหรือด่านักการเมืองก่อนเข้าเพลง  วงดนตรีแฮมเมอร์เป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างไรก็ตาม…