Skip to main content

คุณสมัคร  สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึง “มือสกปรก” และ “มือที่มองไม่เห็น” ที่พยายามสอดเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่าเป็นมือที่อยู่ “นอกวงการเมือง” เป็นมือที่จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยมีความต้องการที่จะขัดขวางพรรคพลังประชาชนไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล

“ไอ้มือสกปรกที่อยู่ข้างนอก ที่จะยื่นมาทำให้การเลือกตั้งล้มเหลวนั้น ผมขอแถลงว่า เราต้องทำอย่างนี้ เพื่อรักษาเกียรติยศ เกียรติคุณของ กกต.ไม่ให้ท่านโดยอำนาจมืดมาบีบบังคับ มาทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นการเฉไฉ ทั้ง 4 พรรค เราได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะดำเนินการตั้งรัฐบาล ซึ่งตั้งได้แน่นอน” (มติชน 31 ธันวาคม 50)

บางคนอาจจะรู้ว่าเจ้าของ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” นี้เป็นใครเพราะคุณสมัคร  สุนทรเวช บอกเป็นนัยไว้แล้ว   และบุคคลที่เป็นเจ้าของ “มือสกปรก”  นี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่อาจจะมองไม่เห็น “มือตนเอง” หรือไม่รับรู้ว่า “มือของตนเอง” นั้น “สกปรก” เพราะเขาและมือเขา “อยู่ในที่มืด”   และเป็นเพราะว่ามือของเขา “ไม่เคยสะอาด”  มาก่อนเลยนั่นเอง

สมัคร  สุนทรเวช กล่าวถึงบุคคลผู้นี้ว่า
“เมื่อตนไปหาเสียงที่ภาคอีสาน เจอหนังสือวางขาย ตนเห็นรูปที่หน้าปก เห็นชื่อ ตำแหน่ง แล้วข้างใต้ชื่อเขียนว่า 'ก้อนกรวดในรองพระบาท' เห็นแล้วก็ใจหายวูบ ไม่กล้าแม้จะเปิดอ่าน ตนแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง วันนี้ก็จะเล่าเพียงเท่านี้ ใครจะถามเท่าไหร่ ก็จะไม่พูดอีก ไปหาอ่านเองก็แล้วกัน มีวางขายอยู่ทั่วไป ป่านนี้ถ้าใครเก็บแล้วก็ไม่ทราบได้” (มติชน 31 ธันวาคม 50)

 

เชื่อว่าเจ้าของ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” ที่คุณสมัคร สุนทรเวช พูดถึง คงจะเคย “สอดมือ” เข้ามา “แทรกแซง” วงการเมืองหลายครั้งหลายหน และคงไม่เคยคิดจะ “ล้างมือ” หรือรู้จัก “ความพอเพียง” แต่อย่างใด เพราะคอยแต่ป้วนเปี้ยนวนเวียนเข้ามาทำให้ระบบการเมืองยุ่งเหยิงอลหม่านครั้งแล้ว ครั้งเล่า

“มือสกปรกที่มองไม่เห็น” นี้อาจมีหลายคู่ ทั้งมือเล็ก มือใหญ่ สกปรกมาก สกปรกน้อยลดหลั่นกันไป “มือสกปรก” เหล่านี้ส่งผลต่อความเป็นไปของระบบการเมือง การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์อย่างมหาศาล ซึ่งจะว่าไปนี่เป็นปัญหาสำคัญของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาตลอดนั่นคือปัญหาของการแทรกแซงจากอำนาจ “นอกวงการเมือง”  อาทิ เช่น กองทัพ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ รวมทั้งจาก “มือสกปรก” ที่คุณสมัคร สุนทรเวชพูดถึงในครั้งนี้

สิ่งที่ “มือสกปรก” ได้ลงมือทำคือ
“เพราะมือที่มองไม่เห็นได้ทำให้เกิดบุคคลที่เรามองเห็นตัว ทำการประหลาดโดยการส่งตำรวจเข้าไปเป็นกรรมการชุดพิเศษ แล้วตำรวจคนนี้ ซึ่งขอย้ำเลยว่า เป็นนายตำรวจที่คลุกคลีตีโมงอยู่กับพันธมิตร ซึ่งต่อต้านรัฐบาลที่แล้วตลอดมา คนๆ นี้ได้ดำเนินการ ทั้งจังหวัดเชียงราย จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย และอีกหลายจังหวัด เตรียมการเอาผู้คน ซึ่งเป็นพยานที่จัดทำขึ้นมาเอง ใส่รถนำมาสอบสวนในกรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนถูกเกณฑ์ เข้าไปเพื่อจะสอบสวนในเรื่องนี้ เป้าหมาย คือ ต้องการยุบ พปช.ทำกันถึงขนาดจะลากเอาตัวไปเกี่ยวพันกับคณะกรรมการบริหาพรรค เขาย่ามใจเคยทำสำเร็จมาแล้ว เมื่อยุบพรรค ที่ กกต.ไม่อยากให้ออกชื่อ บัดนี้จึงพยายามอีก” (มติชน 31 ธันวาคม 50)

ดังนั้น ปัญหาของระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เรื่องการ “ขายสิทธิ ขายเสียง” ที่ชนชั้นกลางหรือสื่อมวลชนโง่ ๆ รณรงค์เวลาที่มีการเลือกตั้ง การ “ขายสิทธิ ขายเสียง” เป็นเรื่องเล็กน้อยเอามาก ๆ เมื่อเทียบกับการที่ทหารเอารถถังมาฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า และเทียบกันไม่ได้เลยกับบทบาทการทำลายระบอบประชาธิปไตยของ “ตัวละครที่ไม่ยอมลงจากเวที” อย่าง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” หรือเล็กน้อยจนเทียบไม่ได้เช่นเดียวกันกับความเสียหายที่เกิดจากบรรดานักวิชาการ ผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญและคอยกำกับทิศทางการเมือง

การโจมตีเรื่องการ “ซื้อสิทธิ ขายเสียง” จึงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นการ “โยนความผิด”  ที่การเมืองการปกครองไปไม่ถึงไหนให้แก่ “คนระดับล่าง” เท่านั้นเอง ส่วนคนที่ทำลายประชาธิปไตย “ตัวจริง” นั้นกลับลอยนวล

อาจเป็นไปได้ที่ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” จะใช้อำนาจและอิทธิพลแทรกผ่านเข้ามาป่วนกระทั่งล้มการจัดตั้งรัฐบาลผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่คุณจาตุรนต์  ฉายแสง ระบุว่ามีอยู่ 4 คนที่วางตัวไม่เป็นกลางซึ่งอาจแจกใบเหลือง-แดงให้แก่ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคพลังประชาชน เป็นจำนวนมาก หรืออาจไปไกลถึงขั้นถูกยุบพรรคพลังประชาชนดังที่เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งกับพรรคไทยรักไทย

ไม่ว่าเจ้าของ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” จะเป็นใคร ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกประณาม สาธารณชนควรร่วมกันลงชื่อประณามเพื่อให้เกิดสำนึกในความผิดที่ได้ทำในครั้งนี้และครั้งที่ผ่านๆ มา หรือถ้าเป็นไปได้ก็หาช่องทางฟ้องร้องในทางกฎหมาย

“มือสกปรกที่มองไม่เห็น” นี่แหละ ที่เป็นตัวการสำคัญในการทำลายความเจริญงอกงามและพัฒนาการของการเมืองไทย

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…