Skip to main content
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ


ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ



นักข่าวจากสำนักทีเอ็นที ได้ทดลองนำคำนี้ใช้กับการรายงานข่าวสถานการณ์การเมืองด้วยการนำไปเรียกม็อบชนิดหนึ่งที่เรียกร้องให้ทำลายทิปไตยซึ่งจะขอเรียกว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย"

รายงานข่าวเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระเส่าขณะเฝ้าสังเกตการณ์ว่าเวลาบ่ายอ่อน ๆ  
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้ใช้ลีลาเดิม ๆ แบบที่เคยเห็นกันอยู่บ่อย ๆ  ปลุกระดมมวลชน หวังให้เกิดความวุ่นวายเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือให้ทะหานเข้ายึดอำนาจล้างกระดานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความใส่ใจมากนักเพราะใคร ๆ พากันเบื่อหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศใน
"ม็อบขี้กะโหล่ย" สุดคึกคักเพราะสินค้าที่นำมาหลอกขาย เกิดขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้งเกินเป้าที่ตั้งไว้แม้ว่าราคาค่อนข้างแพงก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยามเผาแผ่นดิน ผ้าพันคอกู้แบ๊งค์ และเสื้อยืดที่สกรีนว่า "หยุดทอราษฎร์ล้มรัดทำมะนวย"

"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้นำรถหกล้อมาดัดแปลงเป็นเวทีเคลื่อนที่ ติดป้ายความว่า "รักชาด ไม่แก้รัดทำมะนวย" และ "รัดโจร แก้ผ้า เพื่อโจร"

มีการโฆษณาว่าการจัดงานชุมนุมปราศรัยครั้งนี้มีเหล่าพันธมารจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมากท่ามกลางการดูแลอย่างอึดอัดของตำรวจนับพันนาย มีการถ่ายเอกสารบัตรจำตัวชาชน เพื่อเข้าชื่อถอดถอน ศ. จากรั้วมหาลัย หลายรายด้วยกัน เช่น สุรพน สมบัด ชัยนันท์

จุดไคลแมกซ์ของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" อยู่ที่การนำภาพถ่ายของ "ตากษิณ" เทวดาอารักขาประจำม็อบ  มาทำพิธีบูชาด้วยความศักดิ์สิทธิ์ บางคนถึงกับร่ำไห้เพราะความปลาบปลื้ม ขณะที่บางคนเกิดองค์ลงร่ายรำสำแดงเดช  เป็นอภินิหารให้ได้เห็นทั่วกัน

จากนั้นเวทีปราศรัยหาเสียงของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้เปิดฉากขึ้นอย่างอลังการ โดยมีแนวร่วม ตัวเอ้ อาทิ นายไชวัด สิ้นสุดวง  นายสำราน รอดเคล็ด ขึ้นเวทีกล่าวโจมตีรัดบานอย่างดุเดือด

แหล่งข่าวเล่าต่อไปด้วยความตกอกตกใจว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดการปะทะกันถึงขั้นเลือดตกยางออก สาเหตุเนื่องมาจากการยั่วยุของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหตุเพราะทะลึ่งเอาผ้าพันคอที่เขียนว่า "กู้แบ๊งค์" มาพันที่เท้าแล้วยกชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม                                                                      

ฝ่ายตรงข้ามเกิดโมโหสุดขีดเพราะนอกจากแกนนำ "ม็อบขี้กะโหล่ย" บางรายเบี้ยวแบ๊งค์หลายพันล้านบาทแล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่สำนึกผิด ออกกริยาที่แสดงถึงการไม่มีสมบัติผู้ดี  ในที่สุดจึงเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น

รายงานข่าวแจ้งว่าฝ่ายตรงข้ามกับ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" บาดเจ็บหลายรายเพราะไม่ถนัดการต่อยตี อีกทั้ง "ม็อบขี้กะโหล่ย" มีพร้อมทั้งอาวุธและหน่วยกุ๊ยกล้าตาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนโผล่เข้ามาตอนท้ายแบบเดียวกับในหนัง พยายามเข้าระงับเหตุการณ์การปะทะ ท่ามกลางเสียงด่าทออย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายที่ปล่อยให้หลงต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บ

หลังเหตุการณ์ผ่านไป นักวิเคราะห์บางรายให้ทัศนะผ่านแก้วกาแฟว่า การปะทะกันของ
   "ม็อบขี้กะโหล่ย" กับฝ่ายตรงข้ามที่หนับหนุนการแก้ไขรัดทำมะนวยนั้นน่าจะเป็นการจัดฉากของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" เองเพื่อป้ายสีให้คนอื่นซึ่งเป็นวิธีการที่ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา

"เป็นวิธีการเหมือนหนังไทยสมัยโบราณ ที่มีคนคลุมหน้าแล้วประกาศว่าเป็นเสือนั่นเสือนี่เพื่อจะป้ายสีคนอื่น"  

ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ในช่วงเย็น คึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนที่กินหญ้าแทนข้าวทยอยเข้าสมทบเต็มพื้นที่ถนน  โดยมีการตั้งจอโปรเจกเตอร์ถ่ายทอดสัญญาณให้สมาชิกได้รับฟังการปราศรัยแสนเผ็ดร้อน

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย" กับ ฝ่ายตรงข้ามอยู่คนละฝั่งถนน ตะโกนด่าทอกันไปมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกันอีก จึงได้เสริมเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจร  พร้อมกับนำแผงเหล็กมากั้นไม่ให้ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม ได้มีชายสูงอายุคนหนึ่ง ไม่ทราบชื่อ ซึ่งเป็นลูกค้าของร้านอาหารข้างถนนได้ออกมาต่อว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ที่รบกวนการกินของเขา ทำให้แนวร่วมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" หลายคนไม่พอใจ พยายามฮือเข้าทำร้าย แต่ชายคนดังกล่าวหลบกลับเข้าไปในร้านได้อย่างหวุดหวิด

ต่อมา แกนนำรายหนึ่งของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" เผยความในใจแท้จริงว่าเหตุที่มาชุมนุมครั้งนี้เพราะรัดบานขายชาติได้เงินเป็นจำนวนมากแต่ไม่ยอมมาแบ่งกัน จึงขอเรียกร้องให้นำเงินจากการขายชาติมาแบ่งกันโดยด่วน และว่าจะบุกเข้าไปในทำเนียบเพื่อยื่นหนังสือสัญญาซื้อขายให้เห็นเป็นหลักฐาน

แหล่งข่าวให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนว่า การชุมนุมจะยังคงดำเนินต่อไป และอาจยาวยืดเยื้อไปจนถึงเช้า .............. (ประชาไทขอตัดข้อความบางส่วนออก)

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมเฝ้ารอคอยดูผลสำเร็จ (หรือไม่สำเร็จ) ของนโยบาย "5 รั้ว" ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านยาเสพติดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ยาเสพติดลดลงได้จริงหรือไม่ "5 รั้ว" ที่ว่าคือ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ทั้ง "5 รั้ว" จะช่วยเป็นเกราะป้องกันต้านทานการทะลักเข้ามาของยาเสพติด พร้อมไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม
เมธัส บัวชุม
ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีความสามารถในการทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ รายการเชื่อมั่นประเทศไทยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีแต่ถ้อยคำลวงโลกว่างเปล่า รัฐมนตรีทำงานแบบขอไปที เอาตัวรอดไปวัน ๆ ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจง่าย ๆ และรับปากว่าจะดำเนินการ ทาสีให้พรรคพวกที่ทำผิดกฏหมายกลายเป็นบริสุทธิ์ นโยบายไม่มีอะไรใหญ่และไม่มีอะไรใหม่ ฯลฯ ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงก็ฝ่อลง เหมือนหมดมุกจะเล่น เหมือนหมดทางจะไปต่อ เหมือนยอมรับสภาพ
เมธัส บัวชุม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าทำไมรู้สึกแย่ถึงขั้นขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางจอโทรทัศน์ บางทีฝืนใจดูเพราะอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดอะไรแต่ก็ต้องเปลี่ยนช่องทันทีที่ได้ฟังประโยคแรก เพราะเพียง "อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่" ผมได้คำตอบเบื้องต้นว่าเหตุที่ไม่ชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างรุนแรงนั้นมีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการไม่เป็นสุภาพบุรุษ (แพ้ก็ไม่ยอมรับว่าแพ้) ชอบเล่นนอกกติกา (บอยคอตเลือกตั้ง) ขาดความเป็นผู้นำ (ตัดสินใจอะไรไม่ได้) พูดจ้าอ้อมค้อมวกวน (ตอบไม่ได้เรื่องหนีทหาร) เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น (โทษคนอื่นตลอด) ทำหน้าซึ้งๆ เศร้าๆ (คิดว่าตนเองเป็นนางเอก) ท่าดีทีเหลว (…
เมธัส บัวชุม
หากให้ลองเอ่ยชื่อปัญญาชนที่เป็นเสาหลักของสังคมไทย แน่นอนต้องมี ส.ศิวรักษ์ รวมอยู่ด้วย จากผลงานมากมายและหลากหลายในอดีตคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธคุณูปการของ ส. ศิวรักษ์ ที่มีต่อสังคมไทยไปได้ ย้อนหลังไปก่อนการเมืองยุคทักษิณ ผมเฝ้าติดตามและชื่นชมผลงานของส.ศิวรักษ์อยู่ห่าง ๆ ชื่อของเขาในฐานะวิทยากรตามงานสัมมนาเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ต้องเข้าไปนั่งฟังทัศนะอันกล้าหาญแหลมคม อาจกล่าวได้ว่าเขาคือแรงดลใจและเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในการต่อสู้กับความ อยุติธรรม
เมธัส บัวชุม
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา…
เมธัส บัวชุม
  Iภาพที่ผู้ชายจิกหัวผู้หญิงเสื้อแดง แล้วลากถูลู่ถูกังไปกับถนนด้วยความอาฆาตมาดร้ายท่ามกลางการยืนดูเฉย ๆ ของทหาร นักข่าวและสาธาณชนนั้นน่าสะเทือนใจ ไม่ต่างอะไรกับการมุงดูผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในที่สาธารณะ นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้ว บางคนอาจจะลุ้นเอาใจช่วยฝ่ายชายอีกต่างหาก
เมธัส บัวชุม
คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์สู้รบ การประกาศมอบตัวอุปมาเหมือนแม่ทัพที่ทิ้งทัพกลางศึกด้วยเหตุที่ว่ากลัวไพร่พลและทหารแดงที่เข้าร่วมสงครามจะบาดเจ็บล้มตาย! -------------
เมธัส บัวชุม
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล  นักวิชาการขาประจำผู้ซึ่งเคยเสนอมาตรา 7 เช่น อธิการบดีธรรมศาสตร์ ให้ทัศนะในรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ว่าการโฟนอินของทักษิณจะทำให้แนวร่วมเสื้อแดงบางส่วนหายไป จะเหลือก็แต่คนเสื้อแดงแท้ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านต่างจังหวัดเท่านั้นผมได้ฟังแล้วงง มันมี "เสื้อแดงแท้ ๆ" กับ "เสื้อแดงไม่แท้" ด้วยเหรอ ? แล้วคน "เสื้อแดงแท้ ๆ"  ในความหมายของนักวิชาการรายนี้หมายถึงใคร
เมธัส บัวชุม
ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียดไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้  แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง…
เมธัส บัวชุม
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านพ้นไปแล้วหลายวัน โพลล์บางสำนัก นักวิชาการบางราย สื่อบางเจ้า ทำการสำรวจประเมินความคิดเห็นของประชาชนต่อการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผลจะออกมาเป็นบวกต่อรัฐบาล ทั้งที่ข้อมูลของคุณเฉลิม อยู่บำรุง นั้นถือเป็นข้อมูลลึกและน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ผมติดตามการอภิปรายอยู่ห่างๆ หมายถึงดูบ้าง ไม่ได้ดูบ้าง สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคำอธิบาย คำชี้แจงของรัฐบาลคือแทบทุกคนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเลย การให้เหตุผลเป็นแบบ "เอาสีข้างเข้าถู" "แก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ" หรือชี้แจงไม่ตรงกับสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปราย
เมธัส บัวชุม
เป้าหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกับเป้าหมายของคนเสื้อแดงนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันเสียทีเดียวหากแต่มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก หมายถึงว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่ก่อนจะพูดถึงส่วนที่เหมือนและต่างนั้นต้องทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นกันก่อนว่า คนเสื้อแดงมีหลายประเภท หลายเฉด คนเสื้อแดงมีตั้งแต่กลุ่มฮาร์ดคอร์แบบอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์, จักรภพ เพ็ญแข และสีแดงอ่อนๆ ประเภท "แดงสมานฉันท์" สีแดงมีหลายดีกรีคือมีทั้งพวกอนุรักษ์นิยมอ่อนๆ ,เสรีนิยม ไปจนถึงกลุ่มถอนราก ถอนโคน (radical)
เมธัส บัวชุม
ผมเคยดูวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ชื่อ "แฮมเมอร์" แสดงสดหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ดูครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยอมรับว่าประทับใจมาก ครั้งต่อ ๆ มาก็ยังประทับใจ ทุกคนในวงตั้งใจเล่น ตั้งใจร้อง นักดนตรีหลายคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น เดี๋ยวขลุ่ย เดี๋ยวไวโอลิน ดูแล้วเพลิดเพลินนัก แตกต่างจากวงดนตรี "เพื่อชีวิต" ทั่ว  ๆ ไป แม้จะมีหนวดเครายาวรุงรัง แต่แฮมเมอร์ดูสะอาด ไม่มีลีลาหรือพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องเก๊กหน้าให้ดูเหมือนกับคนมีความคิดลึกซึ้งหรือดัดเสียงให้ฟังซึ้งเศร้าหรือด่านักการเมืองก่อนเข้าเพลง  วงดนตรีแฮมเมอร์เป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างไรก็ตาม…