Skip to main content
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ


ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ



นักข่าวจากสำนักทีเอ็นที ได้ทดลองนำคำนี้ใช้กับการรายงานข่าวสถานการณ์การเมืองด้วยการนำไปเรียกม็อบชนิดหนึ่งที่เรียกร้องให้ทำลายทิปไตยซึ่งจะขอเรียกว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย"

รายงานข่าวเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระเส่าขณะเฝ้าสังเกตการณ์ว่าเวลาบ่ายอ่อน ๆ  
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้ใช้ลีลาเดิม ๆ แบบที่เคยเห็นกันอยู่บ่อย ๆ  ปลุกระดมมวลชน หวังให้เกิดความวุ่นวายเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือให้ทะหานเข้ายึดอำนาจล้างกระดานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความใส่ใจมากนักเพราะใคร ๆ พากันเบื่อหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศใน
"ม็อบขี้กะโหล่ย" สุดคึกคักเพราะสินค้าที่นำมาหลอกขาย เกิดขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้งเกินเป้าที่ตั้งไว้แม้ว่าราคาค่อนข้างแพงก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยามเผาแผ่นดิน ผ้าพันคอกู้แบ๊งค์ และเสื้อยืดที่สกรีนว่า "หยุดทอราษฎร์ล้มรัดทำมะนวย"

"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้นำรถหกล้อมาดัดแปลงเป็นเวทีเคลื่อนที่ ติดป้ายความว่า "รักชาด ไม่แก้รัดทำมะนวย" และ "รัดโจร แก้ผ้า เพื่อโจร"

มีการโฆษณาว่าการจัดงานชุมนุมปราศรัยครั้งนี้มีเหล่าพันธมารจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมากท่ามกลางการดูแลอย่างอึดอัดของตำรวจนับพันนาย มีการถ่ายเอกสารบัตรจำตัวชาชน เพื่อเข้าชื่อถอดถอน ศ. จากรั้วมหาลัย หลายรายด้วยกัน เช่น สุรพน สมบัด ชัยนันท์

จุดไคลแมกซ์ของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" อยู่ที่การนำภาพถ่ายของ "ตากษิณ" เทวดาอารักขาประจำม็อบ  มาทำพิธีบูชาด้วยความศักดิ์สิทธิ์ บางคนถึงกับร่ำไห้เพราะความปลาบปลื้ม ขณะที่บางคนเกิดองค์ลงร่ายรำสำแดงเดช  เป็นอภินิหารให้ได้เห็นทั่วกัน

จากนั้นเวทีปราศรัยหาเสียงของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้เปิดฉากขึ้นอย่างอลังการ โดยมีแนวร่วม ตัวเอ้ อาทิ นายไชวัด สิ้นสุดวง  นายสำราน รอดเคล็ด ขึ้นเวทีกล่าวโจมตีรัดบานอย่างดุเดือด

แหล่งข่าวเล่าต่อไปด้วยความตกอกตกใจว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดการปะทะกันถึงขั้นเลือดตกยางออก สาเหตุเนื่องมาจากการยั่วยุของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหตุเพราะทะลึ่งเอาผ้าพันคอที่เขียนว่า "กู้แบ๊งค์" มาพันที่เท้าแล้วยกชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม                                                                      

ฝ่ายตรงข้ามเกิดโมโหสุดขีดเพราะนอกจากแกนนำ "ม็อบขี้กะโหล่ย" บางรายเบี้ยวแบ๊งค์หลายพันล้านบาทแล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่สำนึกผิด ออกกริยาที่แสดงถึงการไม่มีสมบัติผู้ดี  ในที่สุดจึงเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น

รายงานข่าวแจ้งว่าฝ่ายตรงข้ามกับ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" บาดเจ็บหลายรายเพราะไม่ถนัดการต่อยตี อีกทั้ง "ม็อบขี้กะโหล่ย" มีพร้อมทั้งอาวุธและหน่วยกุ๊ยกล้าตาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนโผล่เข้ามาตอนท้ายแบบเดียวกับในหนัง พยายามเข้าระงับเหตุการณ์การปะทะ ท่ามกลางเสียงด่าทออย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายที่ปล่อยให้หลงต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บ

หลังเหตุการณ์ผ่านไป นักวิเคราะห์บางรายให้ทัศนะผ่านแก้วกาแฟว่า การปะทะกันของ
   "ม็อบขี้กะโหล่ย" กับฝ่ายตรงข้ามที่หนับหนุนการแก้ไขรัดทำมะนวยนั้นน่าจะเป็นการจัดฉากของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" เองเพื่อป้ายสีให้คนอื่นซึ่งเป็นวิธีการที่ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา

"เป็นวิธีการเหมือนหนังไทยสมัยโบราณ ที่มีคนคลุมหน้าแล้วประกาศว่าเป็นเสือนั่นเสือนี่เพื่อจะป้ายสีคนอื่น"  

ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ในช่วงเย็น คึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนที่กินหญ้าแทนข้าวทยอยเข้าสมทบเต็มพื้นที่ถนน  โดยมีการตั้งจอโปรเจกเตอร์ถ่ายทอดสัญญาณให้สมาชิกได้รับฟังการปราศรัยแสนเผ็ดร้อน

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย" กับ ฝ่ายตรงข้ามอยู่คนละฝั่งถนน ตะโกนด่าทอกันไปมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกันอีก จึงได้เสริมเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจร  พร้อมกับนำแผงเหล็กมากั้นไม่ให้ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม ได้มีชายสูงอายุคนหนึ่ง ไม่ทราบชื่อ ซึ่งเป็นลูกค้าของร้านอาหารข้างถนนได้ออกมาต่อว่า
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ที่รบกวนการกินของเขา ทำให้แนวร่วมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" หลายคนไม่พอใจ พยายามฮือเข้าทำร้าย แต่ชายคนดังกล่าวหลบกลับเข้าไปในร้านได้อย่างหวุดหวิด

ต่อมา แกนนำรายหนึ่งของ
"ม็อบขี้กะโหล่ย" เผยความในใจแท้จริงว่าเหตุที่มาชุมนุมครั้งนี้เพราะรัดบานขายชาติได้เงินเป็นจำนวนมากแต่ไม่ยอมมาแบ่งกัน จึงขอเรียกร้องให้นำเงินจากการขายชาติมาแบ่งกันโดยด่วน และว่าจะบุกเข้าไปในทำเนียบเพื่อยื่นหนังสือสัญญาซื้อขายให้เห็นเป็นหลักฐาน

แหล่งข่าวให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนว่า การชุมนุมจะยังคงดำเนินต่อไป และอาจยาวยืดเยื้อไปจนถึงเช้า .............. (ประชาไทขอตัดข้อความบางส่วนออก)

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ก่อนอื่นคงต้องขอยอมรับในความสามารถของชัย ราชวัตร ที่สามารถตรึงใจผู้อ่านคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายาวนานหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันและดูเหมือนว่าสามารถสร้างแฟนการ์ตูนรุ่นใหม่ ๆ ได้ไม่น้อย ความน่าสนใจประการหนึ่งของการ์ตูนคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” อยู่ที่การสร้างบทสนทนาระหว่างตัวการ์ตูนเพียงไม่กี่ประโยค แต่สื่อความหมายได้มากมายเสียยิ่งกว่าบทความที่ยาวเต็มหน้ากระดาษชัย ราชวัตร ใช้วาจาสั้น ๆ ในการเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือบางครั้งเป็นการกล่าวหาใส่ความเกินจริง โดยที่เขาตัวเขาเองไม่ต้องรับผลอันใดจากการกระทำของตนเอง ตัวอย่างเช่นไทยรัฐ, 26…
เมธัส บัวชุม
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ชัย ราชวัตร แสดงความหยาบของตัวเองผ่านการ์ตูนชุด “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ ชัดเจนอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ชัย ราชวัตร เอาการเอางานอย่างมากในการใช้ตัวการ์ตูนโจมตีฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ บางครั้งเขาออกอาการก้าวร้าวผิดปกติเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองแหลมคม เป็นผลให้การ์ตูนของเขาแตกต่างจากการ์ตูนของคนอื่น ๆ คือเป็นการ์ตูนที่เด็ก ๆ อ่านไม่รู้เรื่องเพราะอ้างอิงกับข้อมูลและความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน อันที่จริงความน่าสนใจของหนังสือการ์ตูนโดยทั่วไปนั้นอยู่ที่การใช้ “ภาพ” เป็นตัวเล่าเรื่อง…
เมธัส บัวชุม
อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เพื่อนโทรมาชวนผมไปฟังการสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเนื่องในงานธรรมศาสตร์วิชาการ เรื่อง “ก้าวต่อไปของการเมืองภาคประชาชนไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2550” เพื่อนบอกว่ามีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณจอน อึ๊งภากรณ์ คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นพ.เหวง โตจิราการ คุณรสนา โตสิตระกูลผมได้ยินรายชื่อแล้วรู้สึกสนใจโดยเฉพาะคุณจาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมืองคุณภาพที่หาได้ยากยิ่งในแวดวงการเมืองไทยปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ผิดหวัง คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่มาร่วมวงสัมมนาแต่อย่างใด คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นำเสนอการวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการ อย่างไรก็ตาม…
เมธัส บัวชุม
คงเป็นเพราะความเชี่ยวชาญส่วนตัวหรือเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายเรื่องยาเสพติดมาก่อน คุณเฉลิม อยู่บำรุง จึงนำเสนอนโยบายปราบปรามยาเสพติดเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งว่าจะจัดการเฉียบขาดต่อพ่อค้า (และแม่ค้า) ยาเสพติดโดยลงโทษรุนแรงคือประหารชีวิต อย่างไรก็ตามคุณเฉลิม อยู่บำรุงไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนในครั้งนั้น ดังนั้น นโยบายอันดุดันเรื่องนี้ของคุณเฉลิม  อยู่บำรุงจึงถูกพับเก็บไปการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นโยบายทางสังคมอย่างเรื่องยาเสพติดและเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ถูกชูขึ้นหาเสียงมากนัก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลายโดยมากแล้วจะเน้นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ การสร้างความอยู่ดีกินดี…
เมธัส บัวชุม
การหวนกลับมาระบาดอย่างหนักของยาเสพติดในปัจจุบัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด และได้ผลของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อดีอันเป็นรูปธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยาเสพติดได้ลดหายไปจากสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน-นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผม “คิดถึง” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร การเอาจริงเอาจังกับปัญหายาเสพติดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายเดือดร้อนถูกจับกันถ้วนหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ซื้อและขายอย่างสะดวกสบายโดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาจะจัดการได้ ผู้ขายยาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งบอกว่า เขาสามารถซื้อตำรวจได้ทั้งจังหวัด…
เมธัส บัวชุม
อาจารย์สมศักดิ์  เจียมธีรสกุล ภาควิชาประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นกลางบางกลุ่มที่เป็นพวก “สองไม่เอา” คือไม่เอาทั้ง “ทักษิณ” และ “ไม่เอารัฐประหาร” จนเป็นประเด็นถกเถียงน่าสนใจทางโลกไซเบอร์นักวิชาการบางคนพยายามที่จะไปให้พ้นจาก “สองไม่เอา” โดยพูดถึง “ทางเลือกที่สาม” แต่ที่สุดก็ไม่สามารถบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม” นั้นคืออะไร การพยายามค้นหาหรือสร้าง “ทางเลือกที่สาม” มีข้อดีในแง่ที่ว่าอาจช่วยเปิดจินตนาการทางการเมืองให้กว้างขึ้นแต่ก็นั่นแหละใครจะบอกได้ว่า “ทางเลือกที่สาม”  เป็นอย่างไร  “ทางเลือกที่สาม” มีจริงหรือ ?เมื่อ “ทางเลือกที่สาม” ไม่มีอยู่จริง…
เมธัส บัวชุม
คุณสมัคร  สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึง “มือสกปรก” และ “มือที่มองไม่เห็น” ที่พยายามสอดเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่าเป็นมือที่อยู่ “นอกวงการเมือง” เป็นมือที่จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยมีความต้องการที่จะขัดขวางพรรคพลังประชาชนไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล“ไอ้มือสกปรกที่อยู่ข้างนอก ที่จะยื่นมาทำให้การเลือกตั้งล้มเหลวนั้น ผมขอแถลงว่า เราต้องทำอย่างนี้ เพื่อรักษาเกียรติยศ เกียรติคุณของ กกต.ไม่ให้ท่านโดยอำนาจมืดมาบีบบังคับ มาทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นการเฉไฉ ทั้ง 4 พรรค เราได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะดำเนินการตั้งรัฐบาล ซึ่งตั้งได้แน่นอน…
เมธัส บัวชุม
-1-ครั้งที่แล้ว ผมเขียนแสดงความคิดเห็นต่อบทความของศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งเขียนยกย่องว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความสง่างามออกมาสามเรื่องจนทำให้เหมาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่ถึงเวลานี้ไม่ทราบว่าศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ จะยังเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีความสง่างามอยู่อีกหรือไม่เพราะหลังจากที่พ่ายแพ้ต่อพรรคพลังประชาชนแล้ว เขาก็ออกอาการที่เรียกได้ว่า "ขี้แพ้ชวนตั้งพรรค"ด้วยแรงหนุนจากบุคคลบางกลุ่ม และองค์กรบางองค์กร ตลอดจนการได้รับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในกรุงเทพมหานครที่มีชัยเหนือพรรคพลังประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับสอง…
เมธัส บัวชุม
ผมรู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึง เหลือเชื่อ รับไม่ได้ ต่อบทความของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2550  ผมอ่านอย่างตั้งใจทีคำ ทีละประโยค  เมื่ออ่านจบแล้ว ได้แต่ส่ายหัว บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เขียนอย่างที่เขียนไปแล้วได้อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ในวัยชรา ได้ทำลายตัวเองด้วยการเขียนบทความอันน่าสะอิดสะเอียนเพื่อชื่นชม คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างหน้ามืดตามัว เขาเขียนว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (…
เมธัส บัวชุม
-1-เป็นที่รู้กันดีว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ชุดปัจจุบันซึ่งมีคนอย่าง นางสดศรี สัตยธรรม ผู้ซึ่งดูเหมือนจะชมชอบ “สถาบันทหาร” เป็นพิเศษเป็นคณะกรรมการรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นองค์กรที่กล่าวได้ว่าคลอดออกมาจาก “มดลูก” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ที่ทำการรัฐประหารปล้นชิงอำนาจมาจากประชาชน โดยมีพลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน ผู้ซึ่งนอกจากชอบอ้างเรื่อง “ความมั่นคง” แล้วยังชอบอ้างเรื่อง “คุณธรรม จริยธรรม” แต่ว่ากันว่าจดทะเบียนสมรสซ้อนอย่างน้อยสองครั้งเป็นอดีตประธาน  เป็นที่รู้กันดีว่าจุดประสงค์หลักของคมช.และ “บรรดาลูกๆ”  ทั้งหลายก็คือต้องการทำลายล้าง ถอนรากถอนโคน…
เมธัส บัวชุม
-1-การยึดอำนาจโดยกลุ่มทหาร ที่เรียกตัวเองด้วยชื่อที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับคนที่พบเห็นหรือศึกษาเกี่ยวกับการรัฐประหารมาบ้างว่า “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (คปค.) ในวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นถือเป็นฝันร้ายยาวนานสำหรับสังคมการเมืองไทย และเชื่อว่าจะตามหลอกตามหลอนประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยไปตลอดคณะทหารที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเสียใหม่แต่ก็ยังฟังดูคุ้น ๆ อยู่ดีว่า “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) บัดนี้คำว่า “ความมั่นคง” ปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในรูปของชื่อเรียกและนับจากนี้เป็นต้นไป วาทกรรม “ความมั่นคง”…
เมธัส บัวชุม
หนังสือที่มีชื่อโดนใจใครหลาย ๆ คนเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั้งจากคนที่เห็นด้วยและคนที่รับไม่ได้แน่นอนว่าพรรคพลังประชาชนจะต้องถูกอกถูกใจที่มีคนมาช่วย "ด่า" รัฐธรรมนูญปี 2550เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่หัวหน้าพรรคฝีปากกล้าของพลังประชาชนเคยลั่นมาแล้วก่อนหน้านี้ว่า "รัฐธรรมนูญเฮงซวย"นักวิชาการน้อยใหญ่หลายคนเห็นตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องทำโพลล์ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นเฮงซวยจริง ๆ ทั้งนี้เพราะมันไม่ตอบโจทย์ที่กำลังเป็นปัญหาของสังคม ไม่ตอบคำถามของคนชั้นกลางที่อยากมีชีวิตมั่นคงภายใต้กระแสของโลกาภิวัฒน์ ทั้งยังไม่ช่วยให้คนระดับล่างมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้าแต่รัฐธรรมนูญเฮงซวยฉบับปี 2550…