Skip to main content

จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่า

โงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวัง

เรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ

“หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้น
ฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว ไม่กี่คนที่เหลืออยู่กำลังรอรถอุบล-กรุงเทพฯ เที่ยวสุดท้าย เห็นแสงไฟสว่างอยู่ห่างออกไปตรงป้ายที่เขียนว่า ห้องน้ำ 3 บาท

“เดี๋ยวมานะ” ฉันบอกเธอแล้วลุกเดินไปดู หวังว่าจะมีขนมปังหรืออะไรที่เธอพอจะกินได้บ้าง
หน้าห้องน้ำเป็นแผงขายหนังสือพิมพ์ มีหนังสือนิยายเล่มละสิบบาทกองอยู่บนชั้น กับหนังสือเรื่องย่อละครโทรทัศน์ที่กำลังฉายอยู่ 4-5 เรื่อง มีตู้แช่ใส่น้ำอัดลมกับเครื่องดื่มชูกำลัง และมะม่วงดองอีก 2-3 ถุง ใกล้กันมีแผงเล็กๆ ที่เดาว่ากลางวันอาจจะขายขนมอื่นๆ แต่ตอนนี้ว่างเปล่า

หันกลับไปมอง เธอยังยืนอยู่ที่เดิมและมองตรงมาที่ฉันอย่างไม่วางตา

เดินกลับมาค้นเป้ใบมอมๆ ที่แบกมาตั้งแต่สุพรรณฯ ยันอำนาจเจริญ พอถึงอุบลราชธานีมันก็ยับเยินใกล้หมดสภาพ นอกจากสมุด หนังสือ เทปบันทึกเสียง กับเสื้อผ้าเลอะๆ ที่ยังไม่ได้ซักแล้ว ก็มีแต่ยากับผ้าพันแผล และขวดที่มีน้ำเหลืออยู่ไม่กี่อึก

“ทำไงดีล่ะ” ฉันบ่นกับตัวเอง เห็นเธอขยับตัวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย คงหวังว่าฉันจะยื่นอะไรให้ แต่พอฉันส่ายหน้า บอกว่า “ไม่มีอะไรเลยจ้ะ” เธอก็หน้าสลด

หลังจากยืนอยู่จนแน่ใจว่าไม่ได้อะไรแล้ว เธอจึงค่อยๆ เดินเกร่ไปแถวๆ ถังขยะใบใหญ่ที่สูงกว่าตัวเธอมาก มีถุงขนมปลิวอยู่ที่พื้นใบหนึ่ง เธอใช้เท้าเขี่ยๆ ดู พอเห็นเป็นถุงเปล่าก็เดินข้ามไป ฉันภาวนาขออย่าให้เธอคุ้ยขยะ เพราะกลัวว่าเธอจะถูกใครๆ รังเกียจ แต่อีกใจกลับหวังแทนเธอว่า จะมีใครทิ้งถุงไก่ย่างหรือข้าวผัดที่กินไม่หมดไว้บ้าง

ไม่รู้ว่าคำภาวนาของใครได้ผล รถซาเล้งคันหนึ่งเข้ามาจอดใกล้ๆ ห้องน้ำ เป็นรถขายลูกชิ้นปิ้ง มีหลอดไฟเล็กๆ ติดไว้ดวงหนึ่งพอให้มองเห็นลูกชิ้นในถาด คนขายเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ มีผ้าขาวม้าพาดคอ เขากวาดตามองปริมาณคนที่รอรถอยู่ด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย

ฉันรีบลุกไปสั่งลูกชิ้นสี่ไม้ ตาโรยๆ ของเขาดูมีประกายขึ้นนิดหน่อย 

“ไม่ต้องอุ่นนะ” ฉันบอกเมื่อเห็นเขาเขี่ยถ่านใกล้มอดในเตาแล้ววางลูกชิ้นลงบนตะแกรงปิ้ง
“ไม่ต้องรีบหรอกคุณ รถเที่ยวท้ายยังไม่มาง่ายหรอก” เขาพูดเนือยๆ
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวร้อนเกินไป อ๊ะ ไม่ต้องจิ้มค่ะ” ฉันรีบบอกก่อนที่เขาจะจุ่มลูกชิ้นลงในโถน้ำจิ้ม

ถือถุงลูกชิ้นไปหาเธอที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ ถังขยะ ยังไม่ทันเรียก เธอก็หันขวับมาหาราวกับจะรู้ ฉันพาเธอไปนั่งหลังเสาต้นใหญ่ ไม่อยากให้คนขายลูกชิ้นเห็น เธอจ้องมือของฉันที่รูดลูกชิ้นออกจากไม้ ตัวสั่นด้วยความหิวและตื่นเต้น

ลูกชิ้นสี่ไม้หมดในพริบตา แต่เธอคงยังไม่อิ่ม หรือไม่ก็หิวมากยิ่งขึ้น เพราะเธอเอาแต่จ้องมองถุงเปล่าในมือของฉันและเลียริมฝีปากไม่หยุด ฉันจึงลุกไปหาคนขายลูกชิ้นอีกครั้ง

“ลูกชิ้นอีกสี่ไม้ค่ะ ไม่ต้องอุ่น แล้วก็ไม่ใส่น้ำจิ้ม”
คนขายมองถุงเปล่าที่ฉันถือติดมือไปด้วย หน้าคล้ำเฉยของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หยิบลูกชิ้นใส่ถุงตามสั่ง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดมือ แล้วถามขึ้นว่า

“เอาไปให้หมาใช่มั้ย”
ฉันสะดุ้ง อ้าว เห็นด้วยแฮะ ไม่พอใจหรือเปล่าเนี่ย

“ใช่แล้ว ก็มันหิวนี่นา สงสารมันน่ะ คงจะไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อกี้มันกินเร็วจนดูไม่ทัน สงสัยมันไม่อิ่ม เลยต้องมาซื้ออีก” ฉันรีบอธิบายยืดยาว ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าลูกชิ้นคุณภาพแย่จนฉันต้องเอาไปให้หมา

แต่ทันใดนั้น เขาก็ยิ้ม เป็นยิ้มใสๆ ที่ทำให้หน้าดำคล้ำนั้นสว่างขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“รู้มั้ย มันเป็นหมาแม่ลูกอ่อนนะ” เขาบอก “มันหิวบ่อยเพราะลูกมันดูดนม”
ท่าทางเขาเหมือนผู้ใหญ่ที่ตั้งใจจะอธิบายอะไรสักอย่างกับเด็ก ทั้งที่เขาคงอายุน้อยกว่าฉันหลายปี

“ใครเอามันมาทิ้งท่ารถก็ไม่รู้ มันออกลูกอยู่ตรงโน้นแน่ะ” เขาชี้ไปแถวๆ ริมกำแพงอีกฟากหนึ่งของสถานีขนส่ง ฉันมองตามมือเขา เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของพุ่มไม้

“ลูกมันมีสามตัว ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น วันไหนผมมาขายแถวนี้ ผมให้มันกินลูกชิ้นทุกทีแหละ ทีละไม้สองไม้ เห็นมันแล้วคิดถึงหมาที่บ้าน”
“แล้วบ้านพ่อค้าอยู่ไหนล่ะคะ”
ฉันถาม
“บ้านผมไม่อยู่นี่ ผมคนบ้านโป่ง ราชบุรี ผมมาหางานทำ” เขายื่นถุงให้ฉัน ในนั้นมีลูกชิ้นห้าไม้ ฉันกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็บอกว่า
“ผมแถมไม้นึง เอาให้หมา”

..........

แม่ลูกอ่อนกินลูกชิ้นหมดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอยืนกระดิกหางให้ฉันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเต้านมแกว่ง ข้ามพื้นที่จอดรถของสถานีขนส่งหายไปในเงามืดของกำแพงฟากโน้น คงรีบกลับไปหาลูก

พรุ่งนี้เธอจะได้กินอะไร จะอิ่มบ้างไหม หรือจะวิ่งหิวโหยต่อไป ไม่มีใครบอกได้

คนขายลูกชิ้นถีบซาเล้งจากไป พรุ่งนี้เขาจะยังขายลูกชิ้น หรือจะได้งานใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนใจกลับไปบ้านเกิดที่มีครอบครัวและหมาๆ รออยู่ เขาเองก็อาจจะยังตอบไม่ได้เช่นกัน

ลมต้นฤดูหนาวพัดมาแผ่วๆ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงคนรัก มีกล่องกระดาษใบใหญ่ข้างตัว ม้านั่งปลายสถานีมีผู้ชายคนหนึ่งนอนคู้ตัวหลับอยู่ ทุกคนกำลังรอรถที่จะพาไปสู่จุดหมาย อาจเป็นปลายทางของบางคน และเป็นจุดเริ่มต้นของอีกบางคน

ฉันกลับมานั่งกอดเป้ใบเก่า ใจนึกถึงแม่และสมาชิกบ้านสี่ขา คิดถึงช่วงเวลาอบอุ่นของการกลับบ้าน แล้วก็คิดถึงการทำงานกับการเดินทางที่ไม่รู้จบ

วันพรุ่งนี้ของแต่ละคนอาจมีความหมายไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคงเป็น “ความหวัง” ที่ทำให้เรามีกำลังใจยิ้มรับวันใหม่ที่จะมาถึง รวมทั้งเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…