Skip to main content

มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ
น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (
http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)


เหตุเกิดตอนที่ฉันเพิ่งย้ายบ้านสี่ขาจากอีสานเข้ามาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพฯ ตามสภาพงานและชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆในตอนนั้น


อะไรนะคะน้าอู๊ด”ฉันยังปรับสติไม่ทันเพราะเพิ่งลากสังขารลงจากรถประจำทาง แถมยังตกใจเงาดำๆ ของคนที่โผล่เข้ามาประชิดตัวตอนไขกุญแจรั้วบ้าน
มีคนเขาว่าเราน่ะไปดูถูกเขา” น้าอู๊ดพูดซ้ำ
ฮ้า ดูถูก ใคร ยังไง ตอนไหนเหรอคะ” ฉันถามแบบงงๆ ชีวิตนี้อาจจะไม่แน่ใจว่าเคยดูใครผิดมาบ้าง แต่แน่ใจอยู่อย่างว่าไม่เคยดูถูก

แถมนอกจากน้าอู๊ดที่ขายขนมปังนมสดเลิกดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืนแล้ว ฉันผู้ซึ่งออกจากบ้านแต่เช้ามืดและกลับดึกเป็นนิจสินก็แทบไม่ได้พูดคุยกับใครในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้

คิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ได้แต่ยืนทำตาปริบๆ

เขาว่าเราแกล้งเอาชื่อลูกเขามาตั้งให้หมา” น้าอู๊ดแจงข้อหาให้ฟัง
ฮ้า เอาชื่อลูกเขามาให้หมา หมาตัวไหนคะ” ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก
น้ำว้าไง” น้าอู๊ดเฉลย

.................

น้ำว้า เป็นหมาตาโต ตัวเตี้ย ขนสีน้ำตาล มีขาสีขาวครึ่งๆ กลางๆ อยู่ข้างหนึ่ง คล้ายๆ เด็กใส่ถุงเท้าไม่ครบ

ฉันเจอน้ำว้าในวันที่มันยังเป็นลูกหมาน้อย กำลังร้องโหยหวนด้วยความหิว ในย่ามฉันตอนนั้นมีแต่กล้วยน้ำว้าสุก จึงหยิบมาทำกล้วยย้ำ คือเอาใส่ปากเคี้ยวให้นิ่มเละ คายใส่มือแล้วยื่นให้ลูกหมา มันกินกล้วยอย่างตะกรุมตะกราม กินเอา กินเอา จนท้องป่อง

แม่ของน้ำว้าเป็นหมาในบ้านหลังใหญ่ อยู่ๆ เกิด “ท้องไม่มีพ่อ” แต่เจ้าของไม่ต้องการลูกหมาไร้สกุลรุนชาติ น้ำว้าได้มาอยู่บ้านสี่ขาเพราะฉันโชคดีไปเจอก่อนที่มันจะกลายเป็นหมาข้างถนน

น้ำว้าเป็นหมานิยมธรรมชาติ มันชอบวิ่งเข้าไปในดงดอกหญ้าสูงๆ ดมนั่นคุ้ยนี่ ไส้เดือนบ้าง ก้อนหินบ้าง บางทีก็ไปนั่งมองผีเสื้อ ฉันสงสัยเสมอว่าน้ำว้าคิดอะไรอยู่

ครั้งหนึ่ง น้ำว้าไปนั่งแหงนคออยู่ใต้ต้นลั่นทมเป็นนานสองนาน นั่งนิ่งเงียบไม่ขยับจนน่าสงสัย


ฉันย่องเข้าไปนั่งยองๆ ข้างๆ น้ำว้า แล้วแหงนหน้าในองศาเดียวกับมัน จึงได้เห็นว่า บนคาคบไม้ที่เจ้าน้ำว้ากำลังสนใจนักหนานั้น เป็นงูตัวเท่าแขน
!

งูนอนขดเป็นวงอยู่ระหว่างกิ่งลั่นทมงอๆ สองกิ่ง ทิ้งปลายหางลงมา ดูหมิ่นเหม่น่าตกเป็นอย่างยิ่ง มันนอนนิ่งเหมือนหลับ

ฉันตัวแข็งไม่กล้าขยับอยู่พักใหญ่ กะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว วางแผนว่าถ้างูเผลอจะค่อย ๆ ชวนน้ำว้าย่องหนี

กำลังวางแผนเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะอยู่ๆ น้ำว้าก็เห่าออกมาโฮ่งหนึ่ง


เฮ้ย เห่าทำไมเล่า” ฉันตะครุบปากน้ำว้า ใจสั่นระรัวกลัวงูตื่น ตาฝาดหรือเปล่าไม่รู้ที่เห็นหางงูแกว่งเบาๆ ฉันกัดฟันอุ้มน้ำว้าโกยแน่บออกมาจากตรงนั้นสุดชีวิต

อดสงสัยไม่ได้ว่า ที่น้ำว้าเห่าใส่งูนั้น มันตั้งใจเห่าไล่หรือว่าเห่าทักทาย ประสาหมามีสุนัขสัมพันธ์

...................

เด็กๆ ในหมู่บ้านชอบน้ำว้า มักจะพากันวิ่งมาตะโกนเรียก น้ำว้าจะกระโดดโลดเต้นไปยืนสองขาเกาะรั้ว หางส่ายรัวอย่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้กินขนม

แต่ฉันเพิ่งรู้ว่ามีผู้ใหญ่ไม่ชอบ


แล้วเขาพูดหรือเปล่าว่าจะให้หนูทำยังไง” ฉันถามน้าอู๊ดผู้ทำหน้าที่ประหนึ่งประชาสัมพันธ์หมู่บ้าน
เขาให้เราเปลี่ยนชื่อหมา อย่าเอาชื่อลูกเขาไปใช้ เขากลัวลูกมีปมด้อย
อะไรกันเนี่ย” ฉันคราง “แล้วคนชื่อแมว หมี หมู หนู นก เป็ด ไก่ กุ้ง กบ กระต่าย ปลา สารพัดสัตว์ เขามีปมด้อยกันบ้างไหมนี่
ชื่อหมาก็มีด้วยละ น้ารู้จักอยู่คน ขายผักในตลาด แกชื่อป้าหมา” น้าอู๊ดเพิ่มเติมข้อมูล
แหม อยู่ๆ เปลี่ยนชื่อ มันจะสับสนนะน้า” ฉันพยายามรักษาสิทธิของหมา “แล้วถ้าหนูไม่เปลี่ยนล่ะ
เห็นเขาว่าจะฟ้องกรรมการหมู่บ้านว่าเราทำให้ลูกเขามีปมด้อย

ฉันยืนเกาศีรษะ งงจนขำ

แล้วลูกเขาว่าไงคะ ลูกเขาอายุเท่าไหร่เนี่ย
รู้สึกจะขวบกว่าๆ เกือบสองขวบมั้ง
โอ้ว ขวบกว่าๆ ก็รู้จักจะมีปมด้อยแล้วหรือนี่ เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ

ทันใดนั้น ฉันก็นึกถึงหลักฐานสำคัญขึ้นมาได้ มันคือสมุดประจำตัวที่สัตวแพทย์จะบันทึกข้อมูลสุขภาพให้สัตว์ตั้งแต่ฉีดวัคซีนครั้งแรก และสมุดของน้ำว้าเริ่มใช้ตั้งแต่มันอายุสามเดือน


น้าอู๊ดรู้ไหม น้ำว้ามันชื่อน้ำว้ามาตั้งห้าปีแล้วนะคะ
จริงอ้ะ” น้าอู๊ดทำตาโต
ใช่แล้ว ต่อให้ไปฟ้องศาลไคฟง ท่านเปาก็เอาผิดหนูไม่ได้ เพราะหนูตั้งชื่อนี้ก่อนลูกเขาจะเกิดตั้งนาน เขาตะหากเอาชื่อหมาของหนูไปตั้งให้ลูก” ฉันแกล้งว่า

.................

น้าอู๊ดจะไปกระจายข่าวอย่างไรฉันไม่รู้ได้ แต่เวลาก็ผ่านไปโดยไม่มีวี่แววว่าฉันจะโดนฟ้อง

ฉันลองขี่จักรยานโฉบไปแถวๆ ซอยที่หน่วยสืบราษฎรลับ
(ของฉัน) รายงานว่าเป็นบ้านของคู่กรณี เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังเดินเล่น มีคุณยายหรือคุณย่าถือถ้วยข้าวเดินตาม

น่ารักจังเลยนะคะ” ฉันชมเด็กน้อยด้วยใจจริง อดนึกไม่ได้ว่าตาโตๆ ของแกนั้นช่างเหมือนตาของน้ำว้า
คุณยาย
(หรือคุณย่า) ของแม่หนูยิ้มปากกว้าง
ค่า...แกตอบรับแทนหลาน แล้วบอกว่า “น้องน้ำ ธุคุณน้าสิลูก
ชื่อน้องน้ำหรือคะ น้ำอะไรเอ่ย
น้ำว้าจ้า” คุณยายหรือคุณย่าตอบ “ตอนเล็กๆ ชอบกินแต่กล้วยน้ำว้า
อุ๊ย เหมือน...ฉันเกือบพลั้งปากพูดไปแล้วว่า เหมือนหมาของน้าเลย แต่เดชะบุญยั้งปากทัน “เหมือนน้าเลยค่ะ น้าก็ชอบกลวยน้ำว้า แฮ่ะๆ

ฉันยิ้มให้เด็กน้อย แกยิ้มหวานตอบ แถมส่งจูบให้ฉันตามคำสั่งของคุณยายเสียด้วย พอฉันส่งจูบตอบดังจ๊วบ แกก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
..................

ช่วงนี้ไม่ว่าจะดูโทรทัศน์ช่องใด ที่วอบแวบผ่านตามากที่สุดจนขี้เกียจจะอ่าน คือข้อความที่ประชาชนพากันกระหน่ำส่งมาตั้งชื่อให้แพนด้าน้อย ลูกของช่วงช่วงและหลินฮุ่ยที่สวนสัตว์เชียงใหม่ รายงานข่าวว่าเป็นแสนๆ ชื่อ

ประเภทของชื่อก็มีสารพัดจนจำแนกไม่ถูก ทั้งชื่อแนวธรรมชาติ เช่น ฟ้าใส แมกไม้ สายน้ำ ชื่อแนวเพื่อชีวิต เช่น เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ขวัญข้าว ชื่อบ่งบอกเชื้อชาติ เช่น หมิงหมิง ฮุ่ยหลิน ซันไช่

ไม่ว่าสุดท้ายแพนด้าน้อยจะชื่ออะไร คงจะไม่มีใครลุกขึ้นมาฟ้องร้องว่า เอาชื่อคนไปตั้งให้แพนด้า เผลอๆ จะกลายเป็นชื่อฮิตติดกระแส ให้คนหยิบมาตั้งให้ลูกอีกต่างหาก

ฉันคิดขำๆ ว่า ที่ชื่อน้ำว้ามันมีปัญหา ก็เพราะมันเป็นแค่หมาธรรมดาๆ
ไม่ใช่หมาแพนดี้
! 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…