Skip to main content

ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ

แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น

เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน

ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่
มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร

\\/--break--\>

เอ้า เร้ว ลงมือกันเถอะค่ะ!” ฉันปรบมือคึกคัก บอกแม่ๆ ๓ คนที่ยืนคอยอยู่ จริงๆ ยังนึกไม่ออกว่าจะลงมือทำอะไร แต่ บิ๊วอารมณ์ไว้ก่อน

ยืนเกาคางอยู่พักหนึ่งก็ลงมือคลี่เส้นก๋วยเตี๋ยว วานให้พวกแม่ ๆ ก่อไฟ ตักน้ำ ล้างผักทั้งหมดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งมะเขือ แตงร้าน บวบ ฟักเขียว ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ผักคะน้า
ไม่เห็นต้องคะน้า ราดหน้าใส่มะเขือกับแตงร้านก็อร่อยได้
ฉันคิดทางบวก

พอไฟลุกดีก็ตั้งกระทะ(ก้นดำปี๋) แกะถุงน้ำมันหมูใส่ กลิ่นออกหืนๆ แต่ช่างเถอะ ไม่มีหมู มีน้ำมันหมูก็ยังดี (วะ)
น้ำมันร้อน ก็เทเส้นลงไปคลุกเคล้า หันไปคว้าขวดซีอิ๊วดำ อ้าว ฝันไป ไม่มีสักหน่อย เชอะ ผัดน้ำมันเฉยๆ ก็ได้

ดูปริมาณเส้นก๋วยเตี๋ยวเทียบกับจำนวนเด็ก คำนวณเล่นๆ ประสาคนอ่อนคณิตศาสตร์ คาดว่าจะได้กินคนละไม่กี่เส้น ฮ่ะฮ่ะ ไม่เป็นไร ยังไงๆ ก็ยังมีเส้น ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ(หัวเราะคลายเครียด)

อะไรต่อ? อ้อ ตั้งหม้อใหญ่บนเตา ใส่น้ำค่อนหม้อ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง จึงใส่ผักทั้งหมดลงไป (ก็ไม่มีอะไรอื่นจะใส่แล้วนี่!) กะว่าผักสุกแล้วจะใส่น้ำตาลกับเกลือ แค่นั้นก็เสร็จ ใครว่าก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทำยาก ไม่จริ๊งงงง..มีอะไรง่ายกว่านี้อีกไหมคะคุณขา โหะโหะ (ปาดน้ำตา)

ก็แหม น้ำปลาก็ไม่มี ซีอิ๊ว กระเทียม พริกไทย เต้าเจี้ยว แป้งมัน ซอสปรุงรส ไม่มีสักอย่าง จะให้ใส่อะไรเล่า เอาเหอะ อย่ายึดติด อย่าได้แคร์สูตรใดๆ หมึกแดงหมึกดำลืมไปให้หมด ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าควรจะผันไปตามบริบทของชุมชน โอ้ว ใช้ศัพท์วิชาการเสียด้วย

คุณพระช่วย! ฟืนหมด

โอ๊ย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด น้ำก็ยังไม่ทันเดือด ฉันลุกลี้ลุกลนเรียกหาผู้ช่วยนางเอกที่ยืนเขย่าลูกอ่อนอยู่ เร้ว หาฟืนให้หน่อยจ้า พวกเธอบอก จ้าครู แล้ววิ่งออกไปทันใด พลันน้องครูคนเดิมก็วิ่งเข้ามาบอกว่า
พี่ หนูนึกได้แล้ว พี่อยากให้มีโปรตีนใช่ไหม

เคยใช่ แต่พี่ทำใจแล้ว พี่จะทำราดหน้าตามบริบทของชุมชน
ฉันชะเง้อมองแหล่งโปรตีน ๒-๓ ตัวที่เดินมาเมียงมองอยู่หน้าโรงครัว ไม่รู้ว่าหิวหรือมาสืบราชการลับ (ที่อาจเป็นภัยต่อราษฎรสี่ขาอย่างพวกมัน)
หนูลืมไปเมื่อวันเสาร์ซื้อไข่ไก่มาจากหล่มเก่า ยังเหลืออยู่เกือบ ๒๐ ฟอง เอามาให้เด็กๆ ดีกว่านะพี่
พวกครูลงขันซื้อไข่ไว้ทำกับข้าวกินด้วยกันทั้งเดือน เป็นอาหารดีๆ เท่าที่สภาพความเป็นอยู่เอื้ออำนวย

ยังดีที่ฤดูนี้ลงดอยไปตลาดหล่มเก่าได้ ถ้าเป็นฤดูฝน อย่าได้หวังลงไปไหน ลงก็ยาก ขึ้นก็ไม่ได้ หมู่บ้านเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
โรงเรียนเคยพยายามจะเลี้ยงปลาในโครงการอาหารกลางวัน ทำเรื่องขอพันธุ์ปลาจากจังหวัดมาลงบ่อที่ชาวบ้านช่วยขุดให้ ปรากฏว่าเมื่อปีกลายเกิดแม่คะนิ้ง (น้ำค้างแข็ง) ปลาหนาวตายเกลี้ยงบ่อ

เอ้า แล้วพวกเราจะมีอะไรกินล่ะ
ฉันถาม
ไม่เป็นไรพี่ เก็บผักมาต้มกินก็ได้
แล้วเธอก็รีบไปบอกให้เด็กป.๖ วิ่งไปหยิบไข่ที่บ้านพักครูมาให้ฉัน

ครูหนุ่มที่เป็นชาวเขาในพื้นที่โผล่หน้ามาถามว่า

เสร็จแล้วบ่ครับครู จะได้ให้เด็กน้อยพักเที่ยง ทำกิจกรรมมา ๓ กิจกรรมแล้ว

แต่พอเห็นหม้อที่นิ่งสนิทบนเตา กับยิ้มแห้งๆ ของฉัน เขาก็ดูจะเข้าอกเข้าใจเป็นอันดี (แถมท่าทีเห็นใจหน่อยๆ)
เอ้อ เอ้อ บ่เป็นหยัง งั้นผมจะพาเด็กทำกิจกรรมต่ออีกซัก ๓-๔ กิจกรรมเน้อ
ครูผลุบออกไป แม่ ๒ คนที่ออกไปหาฟืนก็กลับมาวางไม้ไผ่คนละหอบใหญ่ลงพื้นดังโครม ฉันมองแล้วรู้สึกคุ้นๆ

เอาไม้ไผ่มาจากไหนคะนี่ คงไม่ใช่...
พูดไม่ทันจบ แม่คนหนึ่งก็ชี้มือไปยังแหล่งที่มา
ว้าย อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก แม่เล่นดึงรั้วโรงเรียนมาทั้งแถบ
!

บ่อนนี้บ่มีไม้ฟืนหรอกครู ต้องไปหาในป่าพู่น ไปมาบ่ทัน หน่วยหาฟืนเฉพาะกิจรีบชี้แจง
ช่างเถอะค่ะ นาทีนี้ขอแค่น้ำเดือดเท่านั้นแหละ

ฉันรีบใส่ไม้ไผ่เข้าไปในเตา เร่งพัดจนไฟลุกโชน ปากท้องของเด็กๆ ย่อมสำคัญกว่ารั้วโรงเรียน

เดือดแล้ว ไชโยด้วยความลิงโลด รีบใส่น้ำตาลกับเกลือ ชิมดูปรากฏว่ามีแต่เค็ม เติมน้ำตาลอีกครึ่งก็ยังเฉย ใส่หมดถุงเลยแล้วกัน

แม่คนหนึ่งชะโงกมองปริมาณน้ำก๋วยเตี๋ยวแล้วว่า
จะพอเหรอจ๊ะครู ฉันเห็นด้วยจึงร้องขอน้ำมาเติมไวๆ
แม่อีกคนหิ้วถังน้ำมาพอดี รีบยกเท ฉันร้องเฮ้ย แต่ไม่ทัน เธอเทเกลี้ยงถัง พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้ำเกือบล้นหม้อ

คนมือไวยืนถือถังน้ำหน้าจ๋อยจนฉันรู้สึกผิดเสียเองที่สั่งความไม่ชัดเจน

เอ้อ ไม่เป็นไรค่ะ น้ำเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน จะได้แน่ใจว่าพอกิน เหลือดีกว่าขาดเนอะ แฮ่ะแฮ่ะ
ชิมอีกทีปรากฏว่าจืดสนิท ทำไงได้ เหลือแต่เกลือแล้วละ ฉันเทเกลือลงไปหมดทั้งถุง
!

ต้มจนผักสุกนิ่มดีแล้วก็ตอกไข่ทั้งหมดใส่หม้อ คนไปคนมาเนื้อไข่หายไปไหนหมดไม่รู้ ก็แหม น้ำเยอะซะขนาดนั้น
แม่ๆ ช่วยกันชิมแล้วสรุปเป็นเสียงเดียวกัน ลำ ลำแล้วละครู เอาเต๊อะ ฉันลองชิมบ้าง พยายามลืมราดหน้าที่เคยกินมาทั้งหมดในชีวิต รู้สึกว่าได้รสหวานนิดๆ ของผักสดจากธรรมชาติ

บ่ายเศษๆ ครูหนุ่มโผล่เข้ามาในครัวอีกรอบแล้วยิ้มแฉ่ง รีบเดินไปตีระฆัง

เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจที่ได้กินก๋วยเตี๋ยวราดหน้า บางคนใช้มือหยิบเส้นใส่ปากแล้วซดน้ำตาม บางคนมีข้าวนึ่งจากบ้านมาก็ปั้นข้าวจิ้มน้ำก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย (คงหิวจัดด้วยแหละ)

ลำบ่ อร่อยไหมจ๊ะ ฉันถามเด็กหัวทุยคนหนึ่ง
อื้ม
แกผงกหัวแล้วยกชามขึ้นซดดังโฮก
ในที่สุด ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าสารพัดผักใส่ไข่(แทบมองไม่เห็น) ที่มีน้ำมากกว่าเนื้อก็หมดเกลี้ยง เด็กๆ หน้าตาเบิกบาน จนฉันรู้สึกตื้นตัน หมา ๒-๓ ตัวเดินเล็มเศษก๋วยเตี๋ยวที่หล่นอยู่นิดๆ หน่อยๆ ตัวหนึ่งนอนแทะก้อนข้าวนึ่งแข็งๆ อย่างมีความสุข

พรุ่งนี้จะทำยังไงคะ ฉันถามน้องครูที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ
ไม่เป็นไรพี่ ยังพอมีข้าวสาร ต้มเปื่อยๆ กับผักเยอะๆ ใส่เกลือใส่น้ำมากๆ ก็พอกินกันอยู่หรอก

จะเป็นเพราะเธอเข้มแข็ง หรือชาชินกับปัญหาจนไม่รู้ว่าจะกลุ้มไปทำไม หรือเพราะอะไรก็ตาม ฉันคิดว่า บางทีชีวิตก็เหมือนทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้า องค์ประกอบไม่ครบไม่เป็นไร ปรุงสูตรไหนก็อร่อยได้ถ้าใจเรากว้างพอ

กลับมาบ้านสี่ขา กำลังคิดว่ากุมขมับไปก็เมื่อยเปล่า ยังไง ๆ ข้าวสารก็เหลือ ๒ กิโลอยู่ดี จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ก็พอดีเจ้าแตงกวามายืนส่ายก้นจ้องหน้าฉัน ท่าทางอยากได้เก้าอี้ของมันคืน พอฉันลุกขึ้นยืน แตงกวาก็รีบกระโดดขึ้นเก้าอี้ทันที

เอ้า วันนี้กินข้าวต้มน้ำใสก็แล้วกันนะ รับรองว่าใซ้ ใส ไร้มลพิษ ฮิฮิ
ฉันบอกสี่ขาทั้งหลายขณะเตรียมก่อไฟ

ปัญหาของพรุ่งนี้ก็เก็บไว้ให้เป็นของพรุ่งนี้ก็แล้วกั๊น!

 
 

ป.ล.จานนี้เป็นราดหน้าหมูหมักเจ้าอร่อยที่ตลาดราชวัตร โชคดี(มั้ยเนี่ย)ที่เด็กๆ ไม่เคยเห็น แฮ่ะแฮ่ะ

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…