Skip to main content

สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ
“หนาวไหม หนาวเนาะ”

พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้

สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล

20080114 moon1 

แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า
“ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ” ฉันบอกแมว มันชายตามองเหมือนรำคาญ แต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน พี่อารีผู้เป็นเจ้าของค้อนแมวอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“ปกติบ่เคยอยู่นิ่งๆ หื้อไผนะ สงสัยอยากถ่ายฮูป”

20080114 moon2

เมืองพร้าวมีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์อยู่หลายสิบครอบครัว กระจายอยู่ในหลายตำบล วันที่ฉันเข้าไปเก็บข้อมูลนั้น จึงได้พบกับสมาชิกจากหลายบ้านทั้งใกล้และไกล ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเล่าถึงวิถีชีวิตที่ได้เลือก
“แต่ก่อนใช้สารเคมีแล้วมีแต่ทุกข์ มันเจ็บไข้นัก เป็นโรคหอบหืด เสียทั้งค่ายาคน ค่ายาต้นพืช เดี๋ยวนี้แข็งแรงสบายดี ได้กินแต่พืชผักดีๆ ที่เราปลูกเอง” พ่อต๋าจากบ้านป่างิ้วเล่าให้ฟัง พ่อนวลคนบ้านดอกคำรีบสนับสนุน
“บ่มีเงินก็บ่เคยอด มีกินแล้วยังมีเหลือได้ขาย เฮาก็สบายใจที่ได้ขายผักดีๆ ไม่มีพิษให้คนอื่น”

ตกบ่าย อากาศยังไม่คลายหนาว พ่อแก้วพาฉันไปเดินเล่นในสวนผักที่บ้านน้ำแพร่ มีหมาหน้าตารับแขกวิ่งตามเราไปด้วยตัวหนึ่ง คอยเงี่ยหูฟังว่าคนคุยอะไรกัน
“ปลูกที่เฮากิน กินที่เฮาปลูก” พ่อแก้วชี้ให้ดูผักสารพัดชนิดที่กำลังงามน่ากิน ข้างสวนมีบ่อปลา มีไก่เดินกุ๊กๆ ไปมาหลายตัว ลำใย ชมพู่ พุทรา มะพร้าว มะม่วง กล้วย อ้อย แคป่า ถั่วรส เสาวรสและนานาผลไม้ที่สลับกันออกผลให้กินได้ทั้งปี
“กินได้ทุกใบ ทุกต้น ทั้งปีบ่เคยซื้อผัก ปลา ไก่ ไข่ก็บ่เคยซื้อ ซื้อกินแต่เนื้อหมูอย่างเดียว แต่ต่อไปก็บ่ซื้อแล้ว เพราะกำลังจะเลี้ยงหมูอินทรีย์ คือเลี้ยงด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วนๆ ทุกอย่างหมุนเวียนอยูในสวน เวลาลงสวนกันสองคนตายายก็ห่อมาแต่ข้าวนึ่ง มาเก็บผักสดต้มแกงกินกันที่สวนนี้ละ” สีหน้าคนเล่าอิ่มเอิบ
เจ้าหมาด่างซุกจมูกเข้าไปที่กองดินดำๆ ในร่องผักกาด
“หมาที่นี่ก็ชอบกินผักนะ” พ่อแก้วหัวเราะหึๆ

20080114 moon3

ในสำรับมื้อแลงมีน้ำพริกกับกะหล่ำหวานกรอบที่ตัดสดจากสวนและแกงวุ้นเส้นใส่ผักกาดขาวถ้วยโตที่ควันลอยกรุ่นเพราะตักร้อนๆ จากหม้อบนเตา

“กินร้อนๆ จะได้คลายหนาว” พี่อารีเลื่อนจานข้าวนึ่งมาให้ ละอ่อนน้อยหลานสาวสี่ขวบของอุ๊ยนางตักแกงซดดังพรืดอย่างเอร็ดอร่อย พอถูกมองก็ยิ้มเขิน ซุกหน้ากับไหล่ของยาย

อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงจุดพลุดังแว่วมาจากเชิงดอย มีคนบอกว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนดับที่ลีซอบ้านป่าอ้อจะจัดงานปีใหม่

ฟ้าเป็นสีน้ำเงินหม่น เริ่มเห็นดาววิบๆ พริบตาเดียวก็พราวเต็มฟ้า ได้ยินเสียงปะทุของฟืนดังมาจากกองไฟที่พ่ออุ๊ยก่อสว่างโพลงขึ้นในความมืด
“ไปอาบน้ำเต๊อะ ดึกนักจะหนาว” พี่ดาวเจ้าของบ้านที่ฉันจะนอนด้วยบอก ในอ้อมแขนมีหมอนกับผ้าห่มเตรียมมาให้คนขี้หนาวที่กำลัง (แอบ) ไตร่ตรองว่าจะอาบน้ำดีไหม
“น้ำบาดาล บ่หนาวดอกครับ” ณรงค์ น้องชายพี่ดาวบอกยิ้มๆ
“มา มาผิงไฟให้อุ่นๆ” พ่ออุ๊ยตะโกนเรียก ขณะที่พี่อารีกอบเมล็ดผักหลายชนิดมากองบนแคร่ แยกใส่ถุงเป็นอย่างๆ ไป เช่นถั่วพู บวบหอม มันโม่ กะทกรก

“วันพูกบ่ดีลืมเอาเมล็ดพันธุ์ผักกลับไปปลูกที่บ้านเน้อ จะได้มีผักกินลำๆ”
“ถ้าอาบน้ำเย็นบ่ไหว เอาน้ำร้อนไหม ผมจะต้มให้”
ณรงค์คว้ากาต้มน้ำ  
ฉันรีบส่ายหน้า ยิ้มให้กับมิตรภาพที่อบอุ่นเหมือนกองไฟในฤดูหนาว

แมวสีเทาตัวเบ้อเริ่มเดินมาแหงนมองหน้า จ้องเป๋งด้วยดวงตาโตสีฟ้า ร้องเหมียวใส่ฉันด้วยเสียงแหบห้าวคำหนึ่ง แล้วเดินลอยชายหายไปในความมืด ไม่แน่ใจว่ามันแค่ทักทายหรือเตือนให้ฉันรีบไปอาบน้ำเสียดีๆ

ฉันเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย ด้วยความซึ้งในน้ำใจทั้งคนทั้งแมว
สำหรับใครที่คิดถึงบ้านในยามหนาว ฉันมีสีสันจากสวนผักเมืองพร้าวมาฝากค่ะ

20080114 น้ำค้างยามเช้า
น้ำค้างยามเช้า

20080114 กลางดงดอกผักชี
กลางดงดอกผักชี

20080114 กลีบน้อยนิดน่าเอ็นดูของดอกผักขี้หูด
กลีบน้อยนิดน่าเอ็นดูของดอกผักขี้หูด

20080114 สีแดงทับทิมของดอกถั่วมะแฮะ
สีแดงทับทิมของดอกถั่วมะแฮะ

20080114 เขียวคะน้ากับเขียวผักกาด
เขียวคะน้ากับเขียวผักกาด

20080114 เหลืองดอกกวางตุ้ง
เหลืองดอกกวางตุ้ง

20080114 น้ำพริกกับแกงขนุนในสำรับมื้อเช้าข้างสวนผัก
น้ำพริกกับแกงขนุนในสำรับมื้อเช้าข้างสวนผัก

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…