Skip to main content

สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ
“หนาวไหม หนาวเนาะ”

พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้

สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล

20080114 moon1 

แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า
“ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ” ฉันบอกแมว มันชายตามองเหมือนรำคาญ แต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน พี่อารีผู้เป็นเจ้าของค้อนแมวอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“ปกติบ่เคยอยู่นิ่งๆ หื้อไผนะ สงสัยอยากถ่ายฮูป”

20080114 moon2

เมืองพร้าวมีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์อยู่หลายสิบครอบครัว กระจายอยู่ในหลายตำบล วันที่ฉันเข้าไปเก็บข้อมูลนั้น จึงได้พบกับสมาชิกจากหลายบ้านทั้งใกล้และไกล ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเล่าถึงวิถีชีวิตที่ได้เลือก
“แต่ก่อนใช้สารเคมีแล้วมีแต่ทุกข์ มันเจ็บไข้นัก เป็นโรคหอบหืด เสียทั้งค่ายาคน ค่ายาต้นพืช เดี๋ยวนี้แข็งแรงสบายดี ได้กินแต่พืชผักดีๆ ที่เราปลูกเอง” พ่อต๋าจากบ้านป่างิ้วเล่าให้ฟัง พ่อนวลคนบ้านดอกคำรีบสนับสนุน
“บ่มีเงินก็บ่เคยอด มีกินแล้วยังมีเหลือได้ขาย เฮาก็สบายใจที่ได้ขายผักดีๆ ไม่มีพิษให้คนอื่น”

ตกบ่าย อากาศยังไม่คลายหนาว พ่อแก้วพาฉันไปเดินเล่นในสวนผักที่บ้านน้ำแพร่ มีหมาหน้าตารับแขกวิ่งตามเราไปด้วยตัวหนึ่ง คอยเงี่ยหูฟังว่าคนคุยอะไรกัน
“ปลูกที่เฮากิน กินที่เฮาปลูก” พ่อแก้วชี้ให้ดูผักสารพัดชนิดที่กำลังงามน่ากิน ข้างสวนมีบ่อปลา มีไก่เดินกุ๊กๆ ไปมาหลายตัว ลำใย ชมพู่ พุทรา มะพร้าว มะม่วง กล้วย อ้อย แคป่า ถั่วรส เสาวรสและนานาผลไม้ที่สลับกันออกผลให้กินได้ทั้งปี
“กินได้ทุกใบ ทุกต้น ทั้งปีบ่เคยซื้อผัก ปลา ไก่ ไข่ก็บ่เคยซื้อ ซื้อกินแต่เนื้อหมูอย่างเดียว แต่ต่อไปก็บ่ซื้อแล้ว เพราะกำลังจะเลี้ยงหมูอินทรีย์ คือเลี้ยงด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วนๆ ทุกอย่างหมุนเวียนอยูในสวน เวลาลงสวนกันสองคนตายายก็ห่อมาแต่ข้าวนึ่ง มาเก็บผักสดต้มแกงกินกันที่สวนนี้ละ” สีหน้าคนเล่าอิ่มเอิบ
เจ้าหมาด่างซุกจมูกเข้าไปที่กองดินดำๆ ในร่องผักกาด
“หมาที่นี่ก็ชอบกินผักนะ” พ่อแก้วหัวเราะหึๆ

20080114 moon3

ในสำรับมื้อแลงมีน้ำพริกกับกะหล่ำหวานกรอบที่ตัดสดจากสวนและแกงวุ้นเส้นใส่ผักกาดขาวถ้วยโตที่ควันลอยกรุ่นเพราะตักร้อนๆ จากหม้อบนเตา

“กินร้อนๆ จะได้คลายหนาว” พี่อารีเลื่อนจานข้าวนึ่งมาให้ ละอ่อนน้อยหลานสาวสี่ขวบของอุ๊ยนางตักแกงซดดังพรืดอย่างเอร็ดอร่อย พอถูกมองก็ยิ้มเขิน ซุกหน้ากับไหล่ของยาย

อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงจุดพลุดังแว่วมาจากเชิงดอย มีคนบอกว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนดับที่ลีซอบ้านป่าอ้อจะจัดงานปีใหม่

ฟ้าเป็นสีน้ำเงินหม่น เริ่มเห็นดาววิบๆ พริบตาเดียวก็พราวเต็มฟ้า ได้ยินเสียงปะทุของฟืนดังมาจากกองไฟที่พ่ออุ๊ยก่อสว่างโพลงขึ้นในความมืด
“ไปอาบน้ำเต๊อะ ดึกนักจะหนาว” พี่ดาวเจ้าของบ้านที่ฉันจะนอนด้วยบอก ในอ้อมแขนมีหมอนกับผ้าห่มเตรียมมาให้คนขี้หนาวที่กำลัง (แอบ) ไตร่ตรองว่าจะอาบน้ำดีไหม
“น้ำบาดาล บ่หนาวดอกครับ” ณรงค์ น้องชายพี่ดาวบอกยิ้มๆ
“มา มาผิงไฟให้อุ่นๆ” พ่ออุ๊ยตะโกนเรียก ขณะที่พี่อารีกอบเมล็ดผักหลายชนิดมากองบนแคร่ แยกใส่ถุงเป็นอย่างๆ ไป เช่นถั่วพู บวบหอม มันโม่ กะทกรก

“วันพูกบ่ดีลืมเอาเมล็ดพันธุ์ผักกลับไปปลูกที่บ้านเน้อ จะได้มีผักกินลำๆ”
“ถ้าอาบน้ำเย็นบ่ไหว เอาน้ำร้อนไหม ผมจะต้มให้”
ณรงค์คว้ากาต้มน้ำ  
ฉันรีบส่ายหน้า ยิ้มให้กับมิตรภาพที่อบอุ่นเหมือนกองไฟในฤดูหนาว

แมวสีเทาตัวเบ้อเริ่มเดินมาแหงนมองหน้า จ้องเป๋งด้วยดวงตาโตสีฟ้า ร้องเหมียวใส่ฉันด้วยเสียงแหบห้าวคำหนึ่ง แล้วเดินลอยชายหายไปในความมืด ไม่แน่ใจว่ามันแค่ทักทายหรือเตือนให้ฉันรีบไปอาบน้ำเสียดีๆ

ฉันเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย ด้วยความซึ้งในน้ำใจทั้งคนทั้งแมว
สำหรับใครที่คิดถึงบ้านในยามหนาว ฉันมีสีสันจากสวนผักเมืองพร้าวมาฝากค่ะ

20080114 น้ำค้างยามเช้า
น้ำค้างยามเช้า

20080114 กลางดงดอกผักชี
กลางดงดอกผักชี

20080114 กลีบน้อยนิดน่าเอ็นดูของดอกผักขี้หูด
กลีบน้อยนิดน่าเอ็นดูของดอกผักขี้หูด

20080114 สีแดงทับทิมของดอกถั่วมะแฮะ
สีแดงทับทิมของดอกถั่วมะแฮะ

20080114 เขียวคะน้ากับเขียวผักกาด
เขียวคะน้ากับเขียวผักกาด

20080114 เหลืองดอกกวางตุ้ง
เหลืองดอกกวางตุ้ง

20080114 น้ำพริกกับแกงขนุนในสำรับมื้อเช้าข้างสวนผัก
น้ำพริกกับแกงขนุนในสำรับมื้อเช้าข้างสวนผัก

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…