Skip to main content

“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆ

เธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก
“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า
“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”
เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา
“ฉันชอบใส่เพชร วันนี้ฉันซื้อเพชรมาใส่หนึ่งกะรัต ภูมิใจมาก วันรุ่งขึ้นเห็นเพื่อนใส่สองกะรัต โอ กลุ้มใจ ต้องรีบหาเงินมาซื้อเพชรสามกะรัต วันไหนฉันดีกว่าเขาฉันก็สุข วันไหนแย่กว่าเขาฉันก็ทุกข์ จิตใจฉันขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้”

……………..

ชิว สู เฟิน หยิบภาพถ่ายใบหนึ่งให้ฉันดู
“คุณเชื่อไหม มีบ้านแบบนี้อยู่ใกล้ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ”

20080509 (01)

“ความทุกข์ของฉันคือบ้านเล็กเกินไป มีเงินน้อยเกินไป แต่พอฉันได้ไปเห็นบ้านเขา โอ อะไรกันนี่ มีความทุกข์แบบนี้ด้วยหรือ ฉันไม่เคยรู้เลย แล้วความทุกข์ของฉันมันคืออะไร”
เธอยอมรับว่า ไม่เคยให้เวลาตนเองพิจารณาความหมายที่แท้ของสุขและทุกข์ โดยเฉพาะสุขและทุกข์ของคนอื่น

“บ้านอีกหลังหนึ่งไม่มีไฟไม่มีห้องน้ำ มีคนอยู่ห้าคน เวลานอนต้องนอนติดกัน พลิกตัวไม่ได้เพราะที่ไม่พอ วันนั้นฉันใส่เพชรไป ฉันรู้สึกราวกับได้ไปทำร้ายเขาอีกทีหนึ่ง”
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นราว ๖-๗ ปีก่อน
ฉันมีโอกาสช่วยสร้างและซ่อมแซมบ้านให้เขา ฉันรู้สึกว่าจิตใจฉันก็ถูกสร้างใหม่เช่นกัน”

ชิว สู เฟิน รู้ว่าเธอจะค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต จากการสัมผัสทุกข์สุขของคนอื่นๆ เธอจึงตัดสินใจทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ยากไร้ ดูแลคนชราที่ถูกทอดทิ้ง ช่วยซ่อมแซมบ้านที่เสื่อมโทรม เก็บขยะ สอนหนังสือเด็กกำพร้า ช่วยผู้ประสบภัย ป้อนอาหารผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี

 “เดี๋ยวนี้ฉันถอดหมดแล้ว เพชรพวกนั้นอยู่ไหนบ้างฉันยังจำไม่ได้เลย ฉันรู้แล้วว่าความสวยจริงๆ คือยังไง มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก มันอยู่ข้างในนี้”
เธอชี้ที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

…………..

ฉันนั่งดูชิว สู เฟิน เย็บผ้าสักหลาดชิ้นเล็กๆ แล้วยัดด้วยนุ่นเป็นหัวไชเท้าสีขาวและหัวแครอทสีส้ม เธอกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อไปเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง

“นิทานพื้นบ้านของไต้หวัน” เธอเอ่ยชื่อเรื่องด้วยภาษาจีน แล้วนึกคำแปลอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกชื่อเรื่องว่า พระจันทร์กำลังมองเธออยู่”
“น่ารักจัง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นสวนผักของคนอื่นงอกงามมาก ตอนกลางคืนเขาจึงพาลูกชายไปด้วย บอกให้ลูกคอยดูต้นทางเวลาที่เขาแอบเข้าไปถอนหัวไชเท้า ถอนหัวแครอท ลูกก็เรียก พ่อ พ่อ เขาถามลูกเรียกทำไมเล่า ไม่มีใครสักหน่อย ลูกบอกว่า มีสิพ่อ ก็พระจันทร์บนฟ้าโน่นไง”
เธอเล่าและร้องเพลง พลางโบกหัวไชเท้าและแครอท ทำเสียงเล็กๆ เป็นลูก และทำเสียงห้าวเป็นพ่อ พยักเพยิดราวกับฉันเป็นเด็กน้อยที่นั่งอ้าปากฟังนิทานอยู่ตรงหน้า
“สนุกใช่ไหม” เธอหัวเราะ แล้วบอกว่า “นิทานเรื่องนี้สอนว่า ความดีหรือความไม่ดี อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ อย่างน้อยพระจันทร์บนฟ้าก็มองอยู่ อย่างน้อยตัวเราเองก็รู้ว่าเราทำอะไร”

……………….

“คุณเลี้ยงหมากี่ตัวหรือ” ชิว สู เฟิน ถามระหว่างการสนทนาช่วงหนึ่ง เธอสนใจเรื่องราวของบ้านสี่ขาและซักถามอย่างเอาใจใส่
“ฉันมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องดีๆ” เธอสัมผัสหลังมือของฉันและบอกด้วยรอยยิ้ม “คุณก็เป็นคนสวยเช่นกัน”

……………….

ชิว สู เฟินเข้าครัว สับกระเทียม เด็ดผัก เธอจะทำกับข้าวให้ฉันกิน
“กินแค่นี้ดี ประหยัด แล้วยังดีต่อสุขภาพ”
ฉันเทน้ำมันมะกอกใส่กระทะ เธอโรยกระเทียมลงไป พอกระเทียมหอมฟุ้ง เธอก็ใส่ผักบุ้งสด เหยาะซอสถั่วเหลือง พรมน้ำนิดหน่อย แล้วปิดฝากระทะ ฉันรับหน้าที่จัดโต๊ะอาหาร

อาหารมื้อนั้นง่ายและอร่อย เรามีผักบุ้ง ผักกาด มะเขือเทศ กินกับข้าวแดงซ้อมมือที่หุงจนนุ่ม เคี้ยวหนึบทุกคำ ชิว สู เฟิน ยังมีเมล็ดพืชให้ฉันกินเล่นอีกถ้วยหนึ่ง เป็นถั่วหลายชนิดกับ เมล็ดดอกไม้ และองุ่นแห้ง มีขนมแป้งนุ่มๆ ใส้งา ปิดท้ายด้วยชาอูหลงที่อุ่นและหอม

20080509 (02)

“ฉันจะออกไปซื้อข้าวซ้อมมือกับผักสด เราไปด้วยกันนะ”
เธอไม่ลืมหยิบถุงผ้าใบใหญ่ไปใส่ของที่จะซื้อ
“ฉันดีใจที่ไม่เพิ่มขยะถุงพลาสติก” เธอบอก

เราลาจากกันริมถนนนวมินทร์ตอนบ่ายคล้อย หวังว่าจะเจอกันอีกเมื่อเธอจะลงไปเยี่ยมคนชรายากไร้ที่ชุมชนร่มเกล้า เธอชวนฉันไปเล่านิทานและเล่นละครให้เด็กๆ ดูด้วยกัน
“บ้านคุณอยู่ไกล คุณมานอนบ้านฉันนะ เราจะได้คุยกันอีก ฉันอยากเขียนบันทึกให้คนอ่านเรื่องดีๆ แต่ฉันเขียนภาษาไทยไม่ได้ คุณเขียนแทนฉันนะ”

…………………

ฉันนั่งรถโดยสารกลับบ้านสี่ขาด้วยใจที่นิ่งสงบ นึกถึงถ้อยคำของชิว สู เฟิน ที่กล่าวว่า
“เวลาฉันไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ เขามักบอกว่าโชคดีที่ได้เจอฉัน ฉันว่าฉันต่างหากที่โชคดี โชคดีที่มีโอกาสรู้จักการช่วยเหลือ รู้จักความเมตตา รู้จักความสุขที่แท้จริง คุณเองก็รู้สึกโชคดีใช่ไหมที่ได้ช่วยสัตว์เหล่านั้น”

แน่นอน ฉันรู้สึกโชคดีเสมอ

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…