Skip to main content

“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆ

เธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก
“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า
“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”
เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา
“ฉันชอบใส่เพชร วันนี้ฉันซื้อเพชรมาใส่หนึ่งกะรัต ภูมิใจมาก วันรุ่งขึ้นเห็นเพื่อนใส่สองกะรัต โอ กลุ้มใจ ต้องรีบหาเงินมาซื้อเพชรสามกะรัต วันไหนฉันดีกว่าเขาฉันก็สุข วันไหนแย่กว่าเขาฉันก็ทุกข์ จิตใจฉันขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้”

……………..

ชิว สู เฟิน หยิบภาพถ่ายใบหนึ่งให้ฉันดู
“คุณเชื่อไหม มีบ้านแบบนี้อยู่ใกล้ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ”

20080509 (01)

“ความทุกข์ของฉันคือบ้านเล็กเกินไป มีเงินน้อยเกินไป แต่พอฉันได้ไปเห็นบ้านเขา โอ อะไรกันนี่ มีความทุกข์แบบนี้ด้วยหรือ ฉันไม่เคยรู้เลย แล้วความทุกข์ของฉันมันคืออะไร”
เธอยอมรับว่า ไม่เคยให้เวลาตนเองพิจารณาความหมายที่แท้ของสุขและทุกข์ โดยเฉพาะสุขและทุกข์ของคนอื่น

“บ้านอีกหลังหนึ่งไม่มีไฟไม่มีห้องน้ำ มีคนอยู่ห้าคน เวลานอนต้องนอนติดกัน พลิกตัวไม่ได้เพราะที่ไม่พอ วันนั้นฉันใส่เพชรไป ฉันรู้สึกราวกับได้ไปทำร้ายเขาอีกทีหนึ่ง”
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นราว ๖-๗ ปีก่อน
ฉันมีโอกาสช่วยสร้างและซ่อมแซมบ้านให้เขา ฉันรู้สึกว่าจิตใจฉันก็ถูกสร้างใหม่เช่นกัน”

ชิว สู เฟิน รู้ว่าเธอจะค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต จากการสัมผัสทุกข์สุขของคนอื่นๆ เธอจึงตัดสินใจทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ยากไร้ ดูแลคนชราที่ถูกทอดทิ้ง ช่วยซ่อมแซมบ้านที่เสื่อมโทรม เก็บขยะ สอนหนังสือเด็กกำพร้า ช่วยผู้ประสบภัย ป้อนอาหารผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี

 “เดี๋ยวนี้ฉันถอดหมดแล้ว เพชรพวกนั้นอยู่ไหนบ้างฉันยังจำไม่ได้เลย ฉันรู้แล้วว่าความสวยจริงๆ คือยังไง มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก มันอยู่ข้างในนี้”
เธอชี้ที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

…………..

ฉันนั่งดูชิว สู เฟิน เย็บผ้าสักหลาดชิ้นเล็กๆ แล้วยัดด้วยนุ่นเป็นหัวไชเท้าสีขาวและหัวแครอทสีส้ม เธอกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อไปเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง

“นิทานพื้นบ้านของไต้หวัน” เธอเอ่ยชื่อเรื่องด้วยภาษาจีน แล้วนึกคำแปลอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกชื่อเรื่องว่า พระจันทร์กำลังมองเธออยู่”
“น่ารักจัง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นสวนผักของคนอื่นงอกงามมาก ตอนกลางคืนเขาจึงพาลูกชายไปด้วย บอกให้ลูกคอยดูต้นทางเวลาที่เขาแอบเข้าไปถอนหัวไชเท้า ถอนหัวแครอท ลูกก็เรียก พ่อ พ่อ เขาถามลูกเรียกทำไมเล่า ไม่มีใครสักหน่อย ลูกบอกว่า มีสิพ่อ ก็พระจันทร์บนฟ้าโน่นไง”
เธอเล่าและร้องเพลง พลางโบกหัวไชเท้าและแครอท ทำเสียงเล็กๆ เป็นลูก และทำเสียงห้าวเป็นพ่อ พยักเพยิดราวกับฉันเป็นเด็กน้อยที่นั่งอ้าปากฟังนิทานอยู่ตรงหน้า
“สนุกใช่ไหม” เธอหัวเราะ แล้วบอกว่า “นิทานเรื่องนี้สอนว่า ความดีหรือความไม่ดี อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ อย่างน้อยพระจันทร์บนฟ้าก็มองอยู่ อย่างน้อยตัวเราเองก็รู้ว่าเราทำอะไร”

……………….

“คุณเลี้ยงหมากี่ตัวหรือ” ชิว สู เฟิน ถามระหว่างการสนทนาช่วงหนึ่ง เธอสนใจเรื่องราวของบ้านสี่ขาและซักถามอย่างเอาใจใส่
“ฉันมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องดีๆ” เธอสัมผัสหลังมือของฉันและบอกด้วยรอยยิ้ม “คุณก็เป็นคนสวยเช่นกัน”

……………….

ชิว สู เฟินเข้าครัว สับกระเทียม เด็ดผัก เธอจะทำกับข้าวให้ฉันกิน
“กินแค่นี้ดี ประหยัด แล้วยังดีต่อสุขภาพ”
ฉันเทน้ำมันมะกอกใส่กระทะ เธอโรยกระเทียมลงไป พอกระเทียมหอมฟุ้ง เธอก็ใส่ผักบุ้งสด เหยาะซอสถั่วเหลือง พรมน้ำนิดหน่อย แล้วปิดฝากระทะ ฉันรับหน้าที่จัดโต๊ะอาหาร

อาหารมื้อนั้นง่ายและอร่อย เรามีผักบุ้ง ผักกาด มะเขือเทศ กินกับข้าวแดงซ้อมมือที่หุงจนนุ่ม เคี้ยวหนึบทุกคำ ชิว สู เฟิน ยังมีเมล็ดพืชให้ฉันกินเล่นอีกถ้วยหนึ่ง เป็นถั่วหลายชนิดกับ เมล็ดดอกไม้ และองุ่นแห้ง มีขนมแป้งนุ่มๆ ใส้งา ปิดท้ายด้วยชาอูหลงที่อุ่นและหอม

20080509 (02)

“ฉันจะออกไปซื้อข้าวซ้อมมือกับผักสด เราไปด้วยกันนะ”
เธอไม่ลืมหยิบถุงผ้าใบใหญ่ไปใส่ของที่จะซื้อ
“ฉันดีใจที่ไม่เพิ่มขยะถุงพลาสติก” เธอบอก

เราลาจากกันริมถนนนวมินทร์ตอนบ่ายคล้อย หวังว่าจะเจอกันอีกเมื่อเธอจะลงไปเยี่ยมคนชรายากไร้ที่ชุมชนร่มเกล้า เธอชวนฉันไปเล่านิทานและเล่นละครให้เด็กๆ ดูด้วยกัน
“บ้านคุณอยู่ไกล คุณมานอนบ้านฉันนะ เราจะได้คุยกันอีก ฉันอยากเขียนบันทึกให้คนอ่านเรื่องดีๆ แต่ฉันเขียนภาษาไทยไม่ได้ คุณเขียนแทนฉันนะ”

…………………

ฉันนั่งรถโดยสารกลับบ้านสี่ขาด้วยใจที่นิ่งสงบ นึกถึงถ้อยคำของชิว สู เฟิน ที่กล่าวว่า
“เวลาฉันไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ เขามักบอกว่าโชคดีที่ได้เจอฉัน ฉันว่าฉันต่างหากที่โชคดี โชคดีที่มีโอกาสรู้จักการช่วยเหลือ รู้จักความเมตตา รู้จักความสุขที่แท้จริง คุณเองก็รู้สึกโชคดีใช่ไหมที่ได้ช่วยสัตว์เหล่านั้น”

แน่นอน ฉันรู้สึกโชคดีเสมอ

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…