Skip to main content

อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วย

มือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์

สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบ

เสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโต

ความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง แต่เกิดมีหมาๆ พากันเจ็บป่วยต่อเนื่องกันถึงห้าตัวในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดบ้านสี่ขาเกิดภาวะ "วิกฤติเศรษฐกิจ"

โครงการทำหมันแมวประสบภาวะชะงักงัน เนื่องจากการเงินของเจ้าของแมวขาดสภาพคล่อง เพื่อความปลอดภัย ฉันตัดสินใจเอาเสือจิ๋วกับสตางค์ใส่กรงไว้ก่อน เพราะมีแมวสาวๆ ที่ยังไม่ทำหมันอยู่หลายตัว

สองแมวน้อยไม่มีทีท่ารังเกียจกรง แถมยังรักกันนักหนา เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวเลียเนื้อตัวให้กัน กอดปล้ำกันจนกรงสะเทือน บางทีมีส่งเสียงเหมียวๆ คุยกันเสียด้วย ยามนอนก็กอดกันหลับปุ๋ยทุกคืน ใครจะนึกว่า ระหว่างแมวตัวผู้ "ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร"

เช้าวันหนึ่ง ฉันจึงตื่นด้วยเสียงแหบห้าวสองเสียงที่แผดใส่กันดังสนั่น ตอนแรกนึกว่าฝันไป เฮ้ย ไม่ใช่นี่หว่า เสียงมาจากกรงแมว ลุกไปดูด้วยความแปลกใจ ไม่ทันคิดว่าลูกแมวน้อยจะแตกเนื้อหนุ่มในช่วงข้ามคืน

เสือจิ๋วกับสตางค์เบียดพิงกรงอยู่คนละด้าน กำลังโก่งตัวพองขน ส่งเสียงเถียง(หรือท้ารบก็ไม่รู้) กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันที่ฉันจะประเมินสถานการณ์ สองแมวก็พุ่งใส่กันเหมือนคู่ชกมุมแดงและมุมน้ำเงินบนเวทีมวยราชดำเนิน โรมรันพันตูอยู่ในกรงจนขนกระจุยกระจาย ฉันกลัวสตางค์ที่ตัวเล็กกว่าจะโดนฟัดตาย จึงเปิดกรงเอื้อมมือเข้าไปดึงสตางค์ออก

พริบตานั้น เสือจิ๋วที่กำลังเมามันกับการต่อสู้ก็กระโจนเข้าขย้ำมือขวาของฉันเต็มที่ ฉันสะบัดมือขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขี้ยวที่ยังฝังอยู่จึงแหวกเนื้อเป็นทางยาว เสือจิ๋วถอนเขี้ยวแล้วกัดซ้ำ ทั้งกัดและตะกุยด้วยกรงเล็บตั้งแต่หลังมือจนถึงข้อศอก พริบตาเดียว มือฉันก็พรุน เลือดพรูออกมาจากทุกๆ รอยแผลเหมือนถุงใส่น้ำที่มีรูรั่ว

ฉันร้องไม่ออกเพราะตกใจ ผงะหงายหลังออกจากกรงจนเกือบหกล้ม รีบใช้ชายเสื้ออุดปากแผล แต่เอาไม่อยู่ (เพราะมีหลายรูเกินไป) เลือดไหลจนชุ่มเสื้อ บางส่วนหยดเป็นดวงๆ บนพื้นบ้าน ฉันก้มหน้าเห็นเลือดก็ตาลาย นึกได้ว่าต้องล้างแผลเป็นอันดับแรก รีบตะกายไปเปิดก็อกน้ำใส่มือและแขน เลือดไหลพลั่กๆ ปนกับน้ำจนแดงเต็มพื้น สีเข้มยิ่งกว่ายาอุทัยทิพย์

ฉันตกใจเสียดายเลือดตัวเองจนใจสั่นหวิวๆ รีบเอามือซ้ายรัดข้อมือขวาเพื่อห้ามเลือด เดินโซเซกลับมาล้มนอนบนแคร่เพราะหน้ามืด รู้สึกปวดแผลจนจะเป็นลม แต่ไม่กล้าเป็น เพราะกลัวว่ามือที่กดแผลไว้จะหลุด แล้วเลือดจะไหลหมดตัว จินตนาการว่าถ้าตายไปใครจะให้ข้าวหมาแมว

นอนหลับตากดแผลอยู่ราวห้านาที นึกได้ว่ากรงเปิดอยู่ ตายละ เดี๋ยวมันกระโจนไล่กันข้าวของพังหมด (ยังอุตส่าห์ห่วงสมบัติ) ฝืนสังขารลุกมาดู เห็นกรงว่างเปล่า ปรากฏว่าสองแมวไปแอบหลบกันอยู่คนละมุมบ้าน จานอาหารกับอ่างน้ำหกกระจายระเนระนาด

เจ้าน้อยหน่า หมาในบ้านตัวหนึ่งกระโดดไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนโมเม หมาพิการผู้น่าสงสารของฉันอุตส่าห์กระเสือกกระสนไปซุกอยู่ใต้แคร่ เลยจำต้องเลิกหน้ามืด กัดฟันล่อให้เสือจิ๋วเข้ากรง ไล่สตางค์ลงตะกร้าแล้วปิดฝา รู้สึกปวดแผลจนหน้ามืดอีกรอบหนึ่ง กลั้นใจดูสภาพยับเยินของมือและแขนแล้วก็เห็นว่าต้องไปโรงพยาบาลสถานเดียว กัดฟัน(จนเกือบหัก) อีกครั้ง ซมซานขี่รถออกไป ไม่รู้ว่าขี่ได้ยังไงโดยไม่ตกถนน แต่แล้วฉันก็ฝืนไปโรงพยาบาลไม่ไหว เพราะอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกม.เลยไปหมดแรงแค่สถานีอนามัยตำบล

“แผลลึกนะคะนี่ ต้องรักษากันยาวเลย” เจ้าหน้าที่พยายามยัดผ้าก็อซชุบยาลงไปในแผลจนหมดทั้งชิ้น ฉันมองดูกรรมวิธีทำแผลที่ดูเหมือนการยัดนุ่นใส่หมอนแล้วก็เกือบเป็นลมอีกครั้ง

กว่าจะเสร็จเรื่อง วันนั้นหมาแมวได้กินข้าวเกือบเที่ยงคืนเพราะฉันหิ้วหม้อข้าวไม่ไหว

ผ่านไปสองวัน มือและแขนของฉันก็อักเสบ บวมเป่งเหมือนใส่นวมนักมวย ลองกดดูก็นิ่มๆ เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำเข้าไปจนพองแทนการเป่าลม  มองอีกทีก็เหมือนแขนป๊อบอายหลังกินผักโขม ดูแล้วตลกดี

นึกถึงปฏิกิริยาของบางคนที่รับรู้เหตุการณ์ระทึกใจในบ้านสี่ขา

คนที่ทำแผลให้ฉันบอกว่า
“ยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือคะ น่าจะทิ้งๆ ไปซะ เดี๋ยวก็ถูกกัดอีกหรอก”

เพื่อนบ้านคนที่เคยเอาหมาแลกถังถึงกับเดินมาขอดูบาดแผล แล้วแสดงทัศนะส่วนตัวว่า
“เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะทุบหัวให้ตายคามือเดี๋ยวนั้นเลย”

อีกคนบอกว่า “บอกแล้วไง อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน เลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่อง” แถมอาสาว่า “ถ้าไม่กล้า จะจัดการให้เอามั้ย”

ทำไมบางคนจึงชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ฉันโทรศัพท์เล่าให้แม่ฟัง แม่(ซึ่งถือหางข้างแมว)บอกว่า “จะเอาสำนึกอะไรนักหนากับหมาแมว อยู่ๆ มันมากัดเล่นๆ เมื่อไหร่ เราไปยุ่งกับมันเองแท้ๆ ทีคนมีสมองมากกว่ายังทำผิด แล้วก็ไม่ใช่จะประหารชีวิตกันง่ายๆ นะ ยังมีขออภัยโทษ นี่อาไร้ เป็นสัตว์เข้าหน่อย เอะอะก็จะฆ่าจะแกง”

แล้วแม่ก็สรุปว่า “คนใจดำ”

ในเรื่องร้ายๆ ฉันพบว่ามีหลายเรื่องดีๆ การที่มือขวาใช้ไม่ได้ ทำให้ฉันค้นพบศักยภาพของมือซ้ายที่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

ชีวิตประจำวันของบ้านสี่ขา อันประกอบไปด้วย ก่อไฟ หุงข้าว(ให้หมา) ซักผ้า ล้างจาน หิ้วน้ำรดต้นไม้ เผาขยะ กวาดอึหมา เก็บอึแมว และอีกร้อยเรื่องจิปาถะ ฉันพบว่ามือซ้ายก็ทำได้ แม้จะไม่เรียบร้อย และใช้เวลามากกว่ามือขวาหลายเท่า รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นอีกเยอะ

เป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า “ปากกัดตีนถีบ” จริงๆ อะไรที่มือเดียวทำไม่ได้หรือไม่ถนัด ฉันจำเป็นต้องใช้ทั้งปากและเท้าช่วย

ใครอยากรู้ว่ายากแค่ไหน ลองนุ่งผ้าถุงด้วยมือข้างเดียวดูนะคะ มือข้างที่ไม่ถนัดนั่นละค่ะ ใครนุ่งได้ง่ายๆ และรวดเร็วช่วยบอกวิธีให้ด้วย

มีคนถามว่าฉันจัดการยังไงกับเสือจิ๋ว ฉันว่า หาวิธีจัดการกับตัวเองสนุกกว่า

สิ่งหนึ่งที่ฉันคิด ขณะที่กำลังพยายามเขียนเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยมือซ้าย ก็คือ ถึงแม้เราจะรักและหวังดีต่อชีวิตแมว หรือชีวิตใครก็ตาม ในบางวิถี เราก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปแทรก

ขอบใจเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋ว ที่ทำให้คน(บางคน)ตระหนักในที่ทางและศักยภาพของตัวเอง

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…