Skip to main content

     พักหลังมานี่  ผมเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์    คือหงุดหงิดพลุ้งพล่านอารมณ์เดือดได้ง่าย   เมื่อมีใครมาพูดถึงสันติวิธี   เรียกร้องให้เดินตามแนวทางสันติวิธี   หรือกระทั่งพูดว่า   คนไทยควรจะอยู่ด้วยความเข้าใจกันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เข้าอกเข้าใจกัน   หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยแก่กัน     ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกับคำพูดเหล่านี้   ไม่ว่ามันจะถูกพ่นออกมาจากปากนักวิชาการ  นักการศาสนา  นักเขียน  ศิลปิน  หรือนักอะไรก็ตามเถอะ...

 

     ผมพยายามหาคำตอบว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกมีอารมณ์หงุดหงิดกับไอ้คำพวกนี้  ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่คำพูดธรรมดาที่เราต่างได้ยินได้ฟังมาจนชินหูตั้งแต่เกิด 

 

     จากการคิดหาคำตอบด้วยสติปัญญาอันไม่ฉลาดของผมบวกกับความเป็นคนอย่างผมก็ทำให้ได้ข้อสรุปว่า   ที่ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกับคำเหล่านี้   ก็น่าจะเป็นเพราะว่ามันมักถูกพ่นมาพร้อมกับความตอแหลเสแสร้งและสร้างภาพกระมัง    คือ...  ผมพบว่าไอ้คำสั่วๆเหล่านี้มันมักถูกพ่นออกมาภายหลังเกิดการสังหารหมู่ไปแล้ว  มีคนเจ็บตายไปแล้ว    โดยเป็นการพ่นจากคนที่ไม่มีส่วนกับความสูญเสียในเหตุการณ์เหล่านั้นอีกด้วย    อย่างมากก็แค่เป็นคนที่อาจจะติดตามสถานการณ์มากหน่อย   แต่ก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมทุกข์ยาก  เปียกฝนตากแดดหรือวิ่งหนีกระสุนปืนอะไรเลย    ตรงนี้แหละที่มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้มันมาพร้อมความตอแหล  เสแสร้ง  และสร้างภาพของเหล่าผู้พูดเอง      คือในเมื่อตัวคุณเองก็ไม่เจ็บ  ไม่ตาย   ญาติคุณก็ไม่ได้มีส่วนเจ็บตายใดๆกับเหตุการณ์นั้นๆ   แล้วคุณจะมาเข้าถึงเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสีย  ญาติมิตรไปจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นได้อย่างไร    คุณไม่ได้เจ็บปวดจากบาดแผล   คุณไม่ได้ร่ำไห้อาดูรคิดถึงคนที่คุณรักที่ต้องจากไป   จากไปเพราะการถูกยิง  ถูกฆ่า    คุณก็พูดได้ซิครับว่าให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน   เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   เข้าอกเข้าใจกัน   หนักนิดเบาหน่อยเราก็ควรหยวนๆกัน ปรองดองกันเสียเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้   เพื่อให้ชาติสงบ   เพราะยังไงพวกเราก็เป็นคนไทยที่รักชาติรักสงบและเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น  บลา  บลา  บลา.....

 

     ในช่วงหลายวันมานี้ผมเห็นคำเหล่านี้เยอะมากในหลายๆวงสนทนา   เห็นแล้วก็รู้สึกอยากจะอ้วกใส่หน้าคนพูดทุกทีเหมือนกัน

 

     โดยส่วนตัว   คำต่างๆเหล่านี้มันไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร   ซ้ำยังมีคุณสมบัติที่ดีในตัวของมันอยู่แล้ว   และหากนำไปใช้ในบริบทของสังคมอื่นๆมันก็คงจะมีคุณค่าและความหมายที่ดีอย่างมากทีเดียว     แต่... เมื่อนำมันมาใช้ในสังคมเรานี้   ภายใต้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเรานี้    ผมกลับเห็นว่า  มันเป็นพิษที่บ่มเพาะเชื้อร้ายและทำให้สังคมนี้ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างไม่จบสิ้น   เพราะอะไร...?

 

     ก็เพราะมันมักจะถูกพ่นมาจากกลุ่มบุคคลที่ผมกล่าวถึงในย่อหน้าก่อนนั่นไงละ   แถมยังถูกพ่น  ออกมาภายหลังที่มีประชาชนถูกฆ่า  ถูกปราบ ต ายเจ็บจากการกระทำของรัฐอีกด้วย    ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกเหม็นฮืนมัน   ไม่นับว่าในทุกครั้งหลังการฆ่า ปราบประชาชนมันก็จะออกมาทุกครั้งอีกด้วย    ลองนึกย้อนดู  หลัง14ตุลามีไหม?  หลัง6ตุลามีไหม?  หลังพฤษภา 35 มีไหม? และล่าสุดหลัง เมษา 52 หลัง พฤษภา 53 มีไหม?    นั่นแหละ...  ผมถึงบอกว่ามันเป็นคำพูดอย่างดัดจริต  ตอแหล  และสร้างภาพของนักวิชาการสันติวิธี  ของนักการศาสนา  และของนักอะไรต่างๆนาๆที่ชอบคิดว่าตนเป็นคนสำคัญคำตอบของตนถูกต้องที่สุดและจะเป็นทางออกของปัญหาความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทย ซึ่งเท่าที่ปล่อยเวลาผ่านมาจนบัดนี้ก็คงจะมีคำตอบแล้วละมังว่า   สังคมนี้ออกจากความขัดแย้งได้ด้วยคำพูดของพวกเขาหรือเปล่า...???

     ทำไมมันถึงเป็นคำพูดที่ดัดจริต...?   มันดัดจริตก็เพราะเป็นคำพูดจากปากของคนที่ไม่เคยเข้าร่วมสู้อย่างจริงจังเคียงบ่าเคียงไหล่  เปียกเหงื่อไคล  เปื้อนคราบเลือดเหมือนเช่นผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้และสูญเสียเลย...     มันตอแหล  ก็เพราะในเมื่อคุณไม่เคยต้องสูญเสียต้องหลั่งเลือดและน้ำตาอย่างพวกเขา   แล้วคุณมาทำเป็นพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ   ทำราวกับเข้าถึงลึกซึ้งในความโศกเศร้าของพวกเขานี่แหละคือ ตอแหล...     ส่วนสร้างภาพก็คือ  จริงๆแล้วคุณก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจหรือเห็นด้วยใดๆกับสิ่งที่ผู้บาดเจ็บล้มตายออกมาเรียกร้องกันหรอก   แต่สิ่งที่ทำให้คุณต้องออกมาและทำทีว่าเห็นอกเห็นใจพวกเขา   ก็เพื่อหวังให้สังคมมองว่าคุณเป็นกางทางการเมือง    เป็นคนดี  มีความรู้  คู่คุณธรรม    ความเห็นของคุณเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม  จริยธรรม  ไร้อคติ  มากด้วยความเมตตาอาทรเยอะแยะเอ่อท้นจนต้องรีบออกมาเพื่อชี้ทางแก่ประชาและสังคม

   

      แน่นอนคุณจะดูเป็นกางและเปี่ยมด้วยคุณธรรมไม่ได้เลย    หากคุณไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้สูญเสียและบาดเจ็บเสียก่อน ทั้งๆที่จริง  คุณอาจจะสะใจและสมน้ำหน้าที่พวกมันตายไปซะได้ก็ดี     ตรงนี้ล่ะที่ผมบอกว่าเป็นการสร้างภาพ    และจะย้ำอีกด้วยว่า  ถ้าคุณไม่สร้างภาพ  ทำไม...?  คุณไม่ออกมาก่อนที่ฝ่ายรัฐที่มีกองกำลังถือปืนจะออกไปเข่นฆ่าประชาชน   คุณนิ่งเฉยก่อนการสังหารหมู่กลางเมืองได้อย่างไร...?    ในประวัติศาสตร์ที่ซ้ำซากมาหลายครั้งก็บอกไว้แล้วว่า   หากมีทหารถือปืนขับรถหุ้มเกราะขึ้นมาบนถนนเมื่อไหร่   จะมีเหตุการณ์ตายและหลั่งเลือดของประชาชนเมื่อนั้น   แต่คุณกลับไม่คัดค้านทัดทานทักท้วงผู้ถืออำนาจรัฐ  ต้องรอให้มีคนตายก่อน   คุณถึงค่อยจะออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ     ก่อนจะใช้วาทะคารมบิดผันอารมณ์ของสังคมไปหาคำว่าปรองดอง  สมานฉันท์  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และหยวนๆกันไป   เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ  เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร , เมื่อเขาตบแก้มซ้ายของท่าน  ท่านจงเอียงแก้มขวาให้เขาตบด้วย , เมื่อรองเท้าข้างซ้ายของข้าพเจ้าหล่นจากรถไฟ  ข้าพเจ้าก็โยนรองเท้าข้างขวาลงตามไปด้วย  เพื่อคนที่มาเก็บได้จะได้ใช้มัน.......     บลา  บลา  บลา  บล่า  บล้า  บล๊า  บล๋า..........

 

     คำพูดอันเปี่ยมด้วยคุณธรรม  จริยธรรม   อุดมด้วยสันติวิธีและมากด้วยอหิงสานี่   เป็นคำพูดที่ใครๆก็พูดได้และอยากพูดครับ  พูดแล้วหล่อ...   ดูดีอีกต่างหาก   ยิ่งไม่ใช่ญาติผู้สูญเสีย   ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับผู้บาดเจ็บและล้มตายนี่   ยิ่งอยากจะพูดวันละห้าเวลาก่อนอาหาร   ทั้ง  เช้า  กลางวัน  เย็น   ก่อนนอน  และก่อนตื่นด้วย      พูดแล้วหล่อลอย   พูดแล้วได้หน้าได้ตามีชื่อเสียงในสังคมได้ออกสื่อฯ   พูดเพื่อสลายความเจ็บปวดของผู้บาดเจ็บ   พูดเพื่อกดข่มความทุกข์คับแค้นของผู้สูญเสียญาติมิตร   พูดเพื่อให้พวกเขาละลืมเหตุการณ์   พูดเพื่อให้สังคมเฉยชากับเหตุการณ์    พูดเพื่อช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ฆ่า   พูดเพื่อยกยอผู้สั่งฆ่า   พูดแล้วได้ดีก็พูดกันไปซิครับ....!?     แต่สังคมมันออกพ้นหลุดจากการฆ่ากันไหม?  มองย้อนอดีตมาถึงปัจจุบัน  ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็น่าจะรู้.....

 

     ในเมื่อแนวคิดอันเปี่ยมด้วยคุณธรรม   น้อมนำสันติวิธีของเหล่านักคิด  นักเขียน  นักวิชาการ  นักการศาสนา  และนักอะไรต่อมิอะไร ฯลฯ   ไม่เคยนำพาสังคมไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาตแห่งการเข่นฆ่าประชาชนได้สักที   ด้วยเพราะไม่สามารถทำให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงๆได้สักที    ในฐานะที่ผมเป็นนักวิชากล้วยที่เคยปลูกกล้วยมาแล้วหลายต้น   จึงอยากจะลองสะเออะ   เสนอแนะอะไรบางอย่างแก่สังคมบ้าง   แม้มันจะไม่อาจเป็นแสงสว่างชี้ทางสวรรค์ให้สังคมนี้หลุดพ้นจากวงจรอุบาตชาตินรกได้    แต่มันก็อาจจะสร้างความขบขำขันหรือเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายให้แก่ผู้ที่อ่านมันได้บ้างก็น่าจะเป็นการดี......

 

     คือ...  นักวิชากล้วยอย่างผมขอเสนอให้สังคมไทยต้องเป็นสังคมที่ผู้คนตื่นตระหนกรู้ตัว   หวาดระแวงรัฐประหารและจดจำจองล้างจองผลาญผู้กุมอำนาจที่สั่งฆ่าประชาชน   รวมทั้งทหารที่ถือปืนออกมายิงประชาชน     ต้องจำมันให้แม่น!  ให้ขึ้นใจ!  และพยายามเรียกร้อง  รณรงค์  เพื่อเอาตัวพวกมันมาลงโทษให้ได้อย่างเด็ดขาด     ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการส่งเสริม  สถาปนาความศักดิ์สิทธ์ในการบังคับใช้กฏหมายให้สามารถทำงานได้อย่างพรักพร้อมเสมอหน้าถ้วนทั่วทุกตัวคนโดยไม่เลือกว่ายากดีมีจน   อยู่ในอำนาจหรืออยู่ห่างอำนาจ

 

     ประชาชนต้องโกรธแค้น   รณรงค์ปลุกเร้าให้กระแสสังคม  โกรธเกลียด  เคียดแค้น  ชิงชัง  ผู้ที่สั่งและออกมาฆ่าประชาชน  มุ่งหมายมั่นเป็นพลังของสังคมที่จะต้องรวบเอาตัวพวกมันมารับโทษลงทัณฑ์ให้ได้    ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็จะไม่มีการเฉลียร์   ปรองดองหรือลดละการลงโทษพวกมันอย่างเด็ดขาด    หากประชาชนทั้งสังคมทำให้ได้อย่างนี้เชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่า    สังคมไทยจะปลดพ้นหลุดละจากวงจรอุบาตที่จะต้องฆ่าและรัฐประหารกันประจำได้อย่างแน่นอน

 

     ทำไม   นักวิชากล้วยอย่างผมถึงเชื่อมั่นเช่นนั้น...?

 

     ก็เพราะ...  ด้วยวิถีทางอาฆาตมาดร้ายเช่นนี้    มันจะเป็นการสร้างกระแสค่านิยมใหม่ให้แก่สังคมของเรา   ที่ต่อไปนี้จะไม่ละเลยหลงลืมเว้นโทษให้แก่ผู้ที่ทำความผิดอย่างเด็ดขาด   ความผิดจะเล็กจะน้อยที่ถูกกระทำโดยคนรวยหรือว่าคนจน   ทุกคนก็จะต้องถูกลงโทษตามทัณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฏหมายอย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกัน     และเมื่อเป็นเช่นนี้  มันก็จะเป็นการตัดวงจรอุบาต สันดานอำมหิตที่คิดหลบช่องกฎหมายด้วยอำนาจทางการเมืองและเงินตราของเหล่าคนผิดได้    ที่ประเทศนี้มีรัฐประหารบ่อยๆ   มีการถือปืนตามคำสั่งออกมาฆ่าประชาชนทั้งกลางเมืองและในป่าบ่อยๆ    นั่นก็เพราะว่า  เหล่าผู้กระทำผิดในทุกยุคทุกสมัย   ต่างไม่เคยต้องได้รับโทษทัณฑ์เลยสักครั้ง    รัฐประหารก็ไม่ต้องรับโทษ   ฆ่าคนตายกี่ศพก็ไม่ต้องรับโทษ   ฉ้อโก้งคอร์รัปชั่นก็ไม่เคยต้องติดคุก   ในเมื่อสังคมบ่มเพาะสั่งสมกันมาอย่างนี้   ถามว่าผู้ร้าย  ผู้ที่กำลังคิดจะเป็นผู้ร้าย  มันจะกลัวไหม..?  มันจะเกรงกฎหมายไหม...?   และมันจะใส่ใจอะไรไหมกับผู้คนในสังคมที่เฉื่อยแฉะ  ละเลย   ทั้งพร้อมที่จะละลืมในสิ่งที่พวกตนถูกกระทำโดยคนชั่วผู้มีอำนาจในสังคม    เหตุการณ์ 14ตุลามา6ตุลา  มีกี่คนต้องตาย...?  มีกี่คนสูญหาย...?   แม้ทุกวันนี้เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่ถูกชำระให้กระจ่างชัด   เพื่อจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่มันเป็นต้นเหตุแห่งการสั่งฆ่าและการล้มตายในครั้งนั้น   เมื่อมันมีเหตุการณ์เช่นนี้  คือคนผิดไม่ต้องรับผิดแถมได้รับการปกปิดช่วยเหลืออีกตะหาก   มันก็ย่อมบ่มเพาะนิสัยให้แก่ไอ้ตัวร้ายตัวต่อๆมา    เราจึงมีวาสนาได้เห็นเหตุการณ์อย่างพฤษภา 35    และเลยมาจนพฤษภา 53  นี่ยังไงล่ะ

 

     คนทำผิดไม่ต้องรับโทษทัณฑ์   สังคมไม่ยอมกดดันเพื่อชำระความจริงให้กระจ่าง    แล้วมันจะกลัวอะไร...?    กลับจะยิ่งได้ใจทั้งสั่งสอนลูกน้องของมันให้เป็นเผด็จการต่อไปอีกด้วย    และที่เลวร้ายไปกว่า   ก็คือพฤติการณ์อย่างนี้  มันยิ่งช่วยบ่มเพาะเผด็จการ   คนเลว   ตัวเล็กตัวน้อยให้เกิดขึ้นยุบยับเต็มสังคม     หลุดพ้นจากภาคการเมืองระดับชาติก็ลงมาสู่การเมืองระดับท้องถิ่น ซ้ำแพร่ขยายไปในภาคส่วนข้าราชการ    และภาคธุรกิจในสังคมอีกด้วย

   

     ทุกคนที่คิดว่าตนรวยและมีเส้นสายใหญ่พอ   ต่างพร้อมที่จะคดโกงสังคม   เอารัดเอาเปรียบคนในสังคมที่ตัวเล็กกว่าตน   จนกว่าตน    และอยู่ห่างจากเส้นสายมากกว่าตนเสมอ    ใช่แต่จะเอาเปรียบอย่างเดียว    ยังพร้อมที่จะฆ่าทิ้งอีกด้วยถ้ารู้สึกหมั่นไส้หรือเห็นว่าเกะกะขวางทาง    ก็เมื่อเขารู้ว่าทำเลวไปกฎหมายก็ทำอะไรเขาไม่ได้  เอาผิดเขาไม่ได้  เขาจะกลัวทำไมล่ะครับ...?   และเมื่อมีครั้งที่หนึ่ง  มันก็จะมีครั้งต่อมา    เพราะเขาย่ามใจในความเฉื่อยแฉะของสังคม    สังคมนี้จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรอุบาตและเป็นสังคมประชาธิปไตยได้สักทีไงล่ะ

 

     เราจะโทษคนชั่วว่าเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้ายในสังคมนี้   นั่นก็ได้ส่วนหนึ่ง     แต่อีกส่วนก็ต้องโทษผู้คนในสังคมที่ต่างสมาทานความละเลยหลงลืม   ไม่รู้จักอาฆาตมาดร้ายคนชั่วด้วยอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน...!!!

 

     เราต่างทราบกันดีว่า   วิถีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยถูกจุดขึ้นครั้งแรกที่ฝรั่งเศส   แต่หลังจากนั้น  มันกลับข้ามน้ำข้ามทะเลไปเติบโตเบ่งบานที่อเมริกา   นั่นเพราะอะไร...?

 

     ก็เพราะ....?   เดี๋ยวนักวิชากล้วยอย่างผมจะเล่าเรื่องบางเรื่องให้ฟังแล้วกัน.....

 

     ผมเคยอ่านนิยายคาวบอยของหลุย ลามูร์   จะเรื่องอะไรอย่ามาถาม   เพราะผมอ่านนานจนลืมไปหมดแล้ว   จำได้ก็แต่บางประโยค  ที่ว่า... หลังจากเจ้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งหลุดพ้นจากการจะถูกรุมยำมาได้ด้วยการช่วยเหลือของคาวบอยหนุ่มสองคน   เจ้าหนูนั่นก็แปลกใจเหลือกำลังว่า   ทำไม...?   พวกเหล่าคาวบอยที่มีปัญหากับเจ้าหนูนั่นจึงยอมเชื่อฟังคาวบอยหนุ่มทั้งสองนี้   เมื่อถามไป  คำตอบที่ได้ก็คือ   “ฉันมีพี่น้องสิบกว่าคน(ลืมตัวเลข)และหมอนั่นก็มีพี่น้องอีกสิบกว่าคน(ลืมเหมือนกัน)   หากใครมามีปัญหากับเราก็จะต้องเจอกับญาติๆของเราทั้งหมดนั้นด้วย...”     ยังไม่เก็ตใช่ไหม..?    ว่ามันคืออะไร...?

 

     คนอเมริกันข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อจะหลุดพ้นจากกรอบจารีตและการคุกคามคุมขัง   พวกเขาไปเพื่อชีวิตใหม่ที่มีอิสรเสรี   ไล่เข่นฆ่าล้างผลาญกับอินเดียนแดงเพื่อแย่งพื้นที่กัน    ก่อสงครามกับประเทศแม่เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชที่มีสิทธิเสรีภาพของตนเอง    ในยุคบุกเบิกชายหนุ่มทุกคนล้วนต้องมีปืน   และความขัดแย้งทั้งหลายก็ต้องใช้ปืนพูดเอาทั้งสิ้น   และแน่นอนเมื่อใช้ปืนพูดกันมันก็ต้องมีการตายและการสูญเสียอย่างแน่นอน   ประเทศจะสงบได้อย่างไร   หากคนยังสามารถฆ่ากันได้อย่างไร้ขื่อแปร   สิ่งที่จะทำให้มันสงบลงได้ก็คือกฎหมาย   กฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกคนทุกฝ่าย    ว่าจะบังคับใช้ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมเสมอหน้ากัน  ไม่เลือกคนจนคนรวย     หากใครทำผิดก็ต้องได้รับโทษกันทุกคนอย่างแน่นอน   การสร้างกฎหมายให้มีความยุติธรรมเป็นที่ยอมรับของทุกคนเช่นนี้นี่เอง   ที่ทำให้คาวบอยทั้งหลายไม่ต้องยกพวกพ้องไปตามล่าเข่นฆ่าคู่ขัดแย้งอีกต่อไป   ประเทศจึงสงบและสามารถร่วมกันสร้างชาติมาได้เช่นทุกวันนี้

 

     ทำไมกฎหมายอเมริกาจึงต้องยึดความยุติธรรมเป็นหลักทั้งยังต้องบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอหน้า   นั่นก็เพราะว่าทั้งผู้ร่างกฎหมายและผู้พิทักษ์กฎหมายต่างเข้าใจดีว่า   เหล่าคาวบอยในประเทศของตนนั้น   ต่างมีจิตใจที่ต้องการอิสรภาพและเสรีภาพ  พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมากดขี่บังคับ   พวกเขาจะอาฆาตมาดร้ายคนที่มารังแกเขาและจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชำระหนี้แค้นเหล่านั้น   หากกฎหมายอเมริกาไม่มีความยุติธรรม   บังคับใช้กับบางคนระงับการใช้กับอีกคน    ประเทศย่อมไม่สงบ    ชาติก็จะเป็นชาติไม่ได้   และนี่ก็คือเหตุผลที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง   การอาฆาตมาดร้ายและจ้องจะเอาคืน   โดยที่ทุกฝ่ายต่างมีศักยภาพที่จะเอาคืน    มันจะทำให้เกิดตัวกลางเข้ามาคานอำนาจของทั้งสองฝ่ายนั้น   โดยเครื่องมือสำคัญของตัวกลางดังกล่าวก็คือ   ความยุติธรรม

 

     หลังปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1789   ฝรั่งเศสยังต้องหันหน้าหันหลัง  หกคะเมนตีลังกา  พลิกซ้ายพลิกขวา  โก้งโคง  หกเก้า  อีกหลายรอบนานปี   กว่าจะเป็นสาธารณรัฐได้อย่างแท้จริง    นั่นก็เพราะพวกเขาเหล่าชนฝรั่งเศสถูกกดขี่บีบคั้นด้วยระบอบกษัตริย์ราชสำนักมานานนั่นเอง    คนที่ถูกกดให้หลังค่อมมานาน   ก็ต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าที่เขาจะรู้ว่าสามารถเดินตัวตรงได้นี่หว่า...

     ไม่ต้องพูดถึงเมืองไท   ย ที่ไม่ว่าจะเอาประวัติศาสตร์ระยะใกล้หรือระยะไกล    เราก็ไม่เคยได้เดินตัวตรงกันสักที    เราถูกกดมาอย่างต่อเนื่องยาวนา   น ซ้ำนับวันยิ่งทวีความแยบยลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย    จึงไม่แปลกที่พวกเราจะเป็นเช่นที่เป็นกันอยู่

 

     แต่...  ตอนนี้พวกเราก็เริ่มรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะ...?    ว่าอะไรเป็นอะไร...?

 

     เขากดขี่เราให้เดินหลังค่อม   พักหลังก็เริ่มลามปามจะเอาเท้ามาเดินบนหัวเราเห็นเราเป็นเศษฝุ่นติดเท้าอีก    เขากดเราด้วยหลายวิธี    ทั้งทางเศรษฐกิจ  กฎหมาย  ข้อบังคับ  ประเพณี  ศาสนา  และที่ขาดไม่ได้ก็คือปืนและกองทัพ    แถมเพิ่มฟังค์ชั่นพิเศษด้วยการโหมโฆษณาชวนเชื่อล้างสมองเข้าไปอีก     การจะปลดวงจรให้หลุดพ้นจากวังวนเหล่านี้ได้   อันดับแรก   เราจะต้องไม่ลืมความเจ็บปวดที่ถูกกระทำ   พร้อมทั้งอาฆาตมาดร้าย    เรียกร้องรณรงค์เอาตัวคนผิดที่สั่งฆ่าและปราบประชาชนมาลงโทษ   มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้     ตรงนี้จะเป็นบาทฐานอันแรกที่จะทำให้ไอ้พวกว่าที่ทรราชได้หวาดหวั่นขลาดกลัว   ไม่กล้าที่จะออกมาฆ่าหรือสั่งฆ่าใครอีกในยามที่มันมีอำนาจ    ซึ่งในขั้นตอนกระบวนการนี้   ก็จะเท่ากับเป็นการปฏิรูประบบยุติธรรมในประเทศนี้ให้มันมีความยุติธรรมจริงๆเช่นที่อื่นเขาด้วยเช่นกัน

 

     ดังนั้น...   ในนามนักวิชากล้วยของผม   ขอให้เหล่านักสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายจงยืนขึ้น!  ยื่นมือของท่านออกมาข้างหน้า!  แบมือออกเพื่อรับศีลของนักสู้เพื่อประชาธิปไตย   คือ...  ความอาฆาตมาดร้าย!  ความคลั่งแค้น!  การไม่ลืม!   เพื่อรับเอาไปสถิตย์ไว้ในใจของท่าน   เพื่อจะได้ระลึกถึงมันในทุกเวลา   และเคลื่อนไหวเพื่อชำระสะสางความแค้นครั้งนี้ให้หมดสิ้น    ด้วยกระบวนการยุติธรรมอันแท้จริง   ท่านทั้งหลายจงพูดออกมาดังๆเถิดว่า “เราจะไม่ลืม… มัน!!!”

 

 

หมายเหตุ: นี่เป็นบล็อกของ Mourose แต่สิ่งที่ท่านอ่านนี่ไม่ใช่ความคิดเห็นของMouroseนะครับ มันเป็นความคิดเห็นของมิตรสหายท่านหนึ่งที่เป็นนักวิชากล้วย เขาบอกว่า เขาได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเขาปลูกกล้วยมาเยอะ แต่ผมคิดว่าเขาได้ชื่อเช่นนั้น เพราะมันมีความหมายเหมือนคำว่า"กล้วย"ที่อ็อตโต้พร้อมผองเพื่อนในพันธุ์หมาบ้าชอบใช้กันมากกว่า 55+ (มันมีนิสัยอย่างนั้น) ฉะนั้น ความเห็นทั้งหลายในบันทึกนี้จึงไม่ใช่ของMourose แต่เป็นของนักวิชากล้วย ใครจะด่าหรือชมยังไง ก็ด่าไอ้นักวิชากล้วยคนเดียวนะครับ ไอ้กล้วยรับไปซะ... ;)

 

 

ขอบคุณภาพประกอบจากเพจ Occupy Wall St. 

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
      เมื่อวาน ผมได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากชายชาวม้งคนหนึ่ง ซึ่งเขามีคนป่วยเรื้อรังเป็นแม่ของเขาเองที่อายุเยอะแล้ว และเป็นโรคกระดุกพรุน ลุกนั่งไม่ได้ ซ้ำมีแผลกดทับอันใหญ่ๆอีกด้วยสองแผล เขาทราบจากเพื่อนบ้านว่าที่องค์กรที่ผมทำงานอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องผ้าอ้อมผู้ป่วย ยาทา
Road Jovi
เพราะไม่รู้ จึงต้องไปดูให้เห็นกับตา
Road Jovi
     จากการอ่านปาฐกถาของท่านกีรตยาจารย์ ผมพบว่า มีความเห็นบางอย่างที่น่าจะเป็นการมองสังคมอย่างคลาดเคลื่อนไปจึงไคร่อยากจะแสดงความเห็นในมุมของผมบ้างเกี่ยวกับปาฐกถาดังกล่าว ดังนี้
Road Jovi
     ฝนตกกลางคืน  ตอนนี้ก็ยังโปรยปรายเป็นสายและพักหยุดบ้างในบางช่วง  ลมพัดเอื่อยๆเรื่อยๆพาความเย็นมาต้องตัวเป็นพักๆ    เป็นบรรยากาศที่น่านอนหลับสำหรับคนที่อยากหลับ   และเป็นบรรยากาศที่น่าดื่มสำหรับผู้ที่อยากดื่ม       แต่สำหรับนักวิชากล้วยผู้
Road Jovi
     ปลูกกล้วยก็ต้องดูแลรักษา   หากฝนแล้งก็ต้องรดน้ำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   จนสามารถให้ผลผลิตคือ   เครือกล้วย   ผลกล้วยและปลีกล้วยได้    ต้นกล้วยก็ต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหารหล่อเลี้ยงต้น   ในสวนกล้วยมีต้นมะขามใหญ่ยืนแผ่ร่ม
Road Jovi
     พักหลังมานี่  ผมเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์    คือหงุดหงิดพลุ้งพล่านอารมณ์เดือดได้ง่าย   เมื่อมีใ
Road Jovi
 “คุณครูค่ะ ถ้าหนูเรียนจบ ม.6 หนูมาทำงานกับคุณครูได้ไหมค่ะ...”
Road Jovi
 “เด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายควรได้รับการศึกษา และอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นในประเทศของเธอและทั่วโลก...” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของเด็กหญิงมาลาล่า ยูซุฟไซ หลังจากเธอเริ่มฟื้นตัวจากการอาการบาดเจ็บที่ถูกนักรบตอลีบันจ่อยิง...
Road Jovi
       ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ เป็นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะแปลงเป็นอย่างนี้ว่า ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้และหนี...  น่าจะเป็นคำกล่าวที่ตรงที่สุด สำหรับการนิยามความหมายให้แก่การดิ้นรนของชาวโรฮิงญาในเวลานี้...